ขณะใดที่เป็น บาป หรือ อกุศล โดยความเป็นไปของจิต
ขออนุญาตสอบถามครับ
มีเพื่อนถามว่า
"เมื่อเราได้ยินเสียงประโยคหนึ่ง แล้วเรารู้สึกไม่ชอบ ขณะจิตดำเนินไปอย่างไรครับ"
ผมก็ตอบได้ไม่ชัดเจนเลย แต่พอจะประมาณได้ว่า
เริ่มจาก
เสียงมาจาก มหาภูตรูป
เสียงมากระทบ โสตทวาร แล้วโสตวิญญาน รู้เสียง .....
แล้วก็อธิบายไม่ได้แล้ว มาณว่าก็มีจิตรู้ และ จำ คิด แล้วแสดงความรู้สึกออกมา
ขณะได้ยินเป็นวิบากกรรม แต่ สิ่งที่แสดงออกมาหลังจากคิด นั้น เป็นกรรมใหม่
(พอเข้าใจครับว่า จิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่อยากทราบว่า สภาพธรรมจะดำเนิน
ไปอย่างไร ที่เนื่องจากเหตุปัจจัยนะครับ)
ไม่เข้าใจที่จะอธิบายเพื่อนด้วยว่า จิตเกิดดับเร็วมาก รูป ๑ รูป จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ
มีอะไรบ้าง เพราะเพื่อนเค้าบอกว่าเค้าปฏิบัติ เค้าเป็นการเกิดดับชัดมาก
ซึ่งผมก็ งง จิตเกิดดับเร็วขนาดนั้น เค้าจะรู้ได้ทันได้อย่างไร
(คงไม่พ้นคิดหรือเปล่าครับ)
ขอบพระคุณมากครับ
รบกวนอาจารย์ช่วยยกกรณีให้ด้วยนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ในชีวิตประจำวันที่โลกกำลังปรากฎทางตา หู จมูก ลิ้น กายแลใจ เป็ยวิถีจิต เป็น
ทางดำเนินไปของจิต ดังนั้นวิถีจิตจึงเป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน เพราะชีวิตประจำวัน
ก็คือ จิตที่เกิดดับสืบต่อกันไปแต่ละขณะนั่นเองครับ ที่มีแต่สภาพธรรม ไม่ใช่เราใช้ชีวิต
ประจำวันครับ
แม้แต่การได้ยินก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเช่นกัน การได้ยินจึงเกิดขึ้นและ กิเลส หรือ กุศล
ก็เกิดขึ้นหลังจากได้ยินแล้วตามวิถีจิตที่เป็นไปครับ ก่อนที่จะได้ยิน มีการกระทบกัน
ของรูป คือ เสียงและโสตปสาทรูป (หู) และต้องมีภวังคจิตเกิดขึ้น อตีตภวังค์ ๑ ขณะ
ภวังคจลนะ ๑ ขณะ ภวังคุปัจเฉทะ ๑ ขณะ ซึ่งภวังคจิตทั้ง 3 ยังไม่ใช่วิถีจิต เพราะ
ไม่ได้อาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเลยครับ จึงไม่ใช่วิถีจิต และ จิตวิถีแรกเกิดขึ้น
รำพึงนึกถึงอารมณ์ที่มากระทบกับโสตปสาท (หู) วิถีจิตแรกเกิดแล้ว คือ ปัญจทวารา
วัชชนจิต ซึ่งถ้าเป็นทางหู ก็เรียกว่า โสตทวาราวัชชนจิต เมื่อจิตนี้ดับไป การได้ยินจึง
เกิดขึ้นครับ คือ โสตวิญญาณจิตเกิดขึ้น ทำกิจได้ยินเสียงครับ เมื่อจิตได้ยินดับไป
สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อและเมื่อดับไป สันตีรณจิตก็เกิดขึ้นและเมื่อดับไป โวฏฐัพพนจิต
ก็เกิดขึ้นและเมื่อดับไป ชวนจิต 7 ขณะเกิดต่อ ชวนจิตนี้เองที่เป็นกุศลหรือ อกุศล ตาม
การสะสมมาของแต่ละบุคคลครับ ว่าเมื่อได้ยินเสียงแล้ว จิตจะเป็นกุศลหรือ อกุศลครับ
และเมื่อชวนจิตดับไป ตทาลัมพณจิต 2 ขณะ เกิดต่อครับ รวมเมื่อตั้งแต่รูปกระทบ
ปสาทรูป มี หู เป็นต้นตั้งแต่ภวังคจิต 3 ขณะโสตทวาราวัชชนจิต 1 ขณะ โสตวิญญาณ
จิต 1 ขณะ สัมปฏิจฉันนจิต 1 ขณะ สันตีรณจิต 1 ขณะ โวฏฐัพพนจิต 1 ขณะ ชวนจิต
7 ขณะ ตทาลัมพณจิต 2 ขณะ รวมเป็น 17 ขณะจิต รูปนั้นจึงดับไป เพราะฉะนั้น เท่า
กับว่า รูป มีอายุเท่ากับการเกิดดับของจิต 17 ขณะครับ นี่คือการวาระการได้ยินและการ
เกิดกุศล หรือ อกุศลครับ ซึ่งมีวิถีจิตตามวาระที่กล่าวมาครับ เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับ
รวดเร็วอย่างมากๆ ครับ เพียงลัดนิ้วมือ เพียง 1 วินาที จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน หาประมาณ
ไม่ได้แล้วครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
ส่วนมีการกล่าวว่ารู้การเกิดดับของจิต ซึ่งการรู้การเกิดดับของจิตต้องเป็นปัญญา
ระดับสูงมาก เป็นระดับวิปัสสนาญาณขั้นที่ 4 ดังนั้น หากยังไม่มีพื้นฐานเข้าใจหนทาง
ที่ถูกต้อง แม้แต่คำว่าธรรม แม้เรื่องสติปัฏฐาน ก็ไม่มีทางรู้การเกิดดับได้เลย ได้แต่
เพียงเข้าใจผิดว่ารู้การเกิดดับแล้ว เพราะการเกิดดับก็ต้องเป็นตัวสภาพธรรมที่เกิดดับ
แต่ถ้ายังไม่รู้สภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน แล้วจะไปถึงการเกิดดับของสภาพธรรม
ไม่ได้ เพราะตัวธรรมก็ยังไม่รู้เลยครับ จึงไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ดังนั้นหนทางที่ถูก จึงไม่
ใช่ไปรู้การเกิดดับทันที ปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับ คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรม
ที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมใช่เราเสียก่อนครับ โดยเริ่มจากการฟังให้เข้าใจก่อนครับว่า
ธรรมคืออะไร ทุกอย่างต้องเป็นไปตามลำดับครับ เพราะฉะนั้นอาศัยการฟังพระรมที่ถูก
ต้องก็จะทำให้เข้าใจถูกว่าปัญญารู้อะไร และปัญญาเบื้องต้นควรรู้อะไรก่อนตามที่กล่าว
มาครับ การศึกาพระธรรมจะทำให้ไม่เข้าใจผิด เพราะผู้ที่คิดว่าเข้าใจแล้วในสิ่งที่ไม่
เข้าใจย่อมเป็นเครื่องกั้นในการบรรลุธรรมครับ การรู้การเกิดดับ จึงไม่ใช่เรื่องการคิดครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
โลก หรือ การเกิดดับ เทียบเคียงอย่างนี้พอจะได้หรือไม่ เพื่อให้เห็นแนวทาง
การปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานและ เห็นการเกิดดับนั้น คือเห็นอย่างไรคะ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ชีวิต คือ จิตที่เกิดขึ้นเป็นไปแต่ละขณะๆ ทุกขณะไม่เคยปราศจากจิตเลย มีจิตเกิดขึ้นเป็นไปตลอดเวลา เมื่อจิตเกิดขึ้นจะต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใดใน ๔ ชาติ [ชาติหมายถึง ความเกิดขึ้นแห่งจิต] กล่าวคือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีเฉพาะอกุศล หรือ กุศลเท่านั้น ยังมีวิบากจิต ซึ่งเป็นการได้รับผลของกรรม และ มีกิริยาจิต ด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ มีกิริยาจิต ๒ประเภท คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และ มโนทวาราวัชชนจิต เท่านั้น และที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่านั้น คือ จิต เมื่อจำแนกเป็นประเภทใหญ่ มี ๒ ประเภท คือ จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวารในการรู้อารมณ์ เป็นวิถีจิต และ อีกประเภทหนึ่ง คือ จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย ไม่ใช่วิถีจิต ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิตและ จุติจิต ในชาตินี้ปฏิสนธิจิต เกิดแล้วดับแล้ว ส่วนจุติจิตยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ในชีวิตประจำวัน จึงมีวิถีจิต เกิดดับสลับกับภวังคจิตเท่านั้นจริงๆ เมื่อกล่าวถึงนามธรรม กับ รูปธรรมแล้ว มีความแตกต่างกัน เพราะนามธรรม ซึ่งได้แก่จิต และ เจตสิก นั้นเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ จิตและเจตสิก เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว มีขณะย่อยๆ เพียงแค่ ๓ ขณะ คือ ขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ตั้งอยู่ และขณะที่ดับไป หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่ได้เลย ส่วนรูปธรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่เป็นธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่รู้อารมณ์เหมือนกับนามธรรม รูปธรรมมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งเป็นความจริงอันเป็นการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผู้ที่จะทรงแสดงพระธรรมได้อย่างละเอียดที่สุดมีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น คือ พระองค์ สำหรับผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เข้าใจธรรม ตามกำลังปัญญาของตนเอง เพราะความเข้าใจแม้จะเล็กน้อย ก็มีค่า เมื่อได้ฟังพระธรรมส่วนละเอียดมากขึ้น ก็จะรู้ว่าอกุศลธรรมในชีวิตประจำวันมีมากจริงๆ และอกุศลธรรมมีหลายขั้น ด้วย อกุศลอย่างหยาบเป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่เป็นทุจริตประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน แต่ที่มีมากคือยังไม่ถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรม คือ ขณะที่เกิดอกุศล อกุศลกลุ้มรุมจิตใจ เช่นตัวอย่างที่กล่าวมา คือได้ยินแล้ว ไม่พอใจ ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีพืชเชื้อของความโกรธอยู่ อกุศลประเภทนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งก็เป็นธรรมประการหนึ่งเช่นเดียวกัน
ที่ควรรู้ ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ว่าอกุศลมีมากแค่ไหน และจะเห็นโทษภัยของอกุศล เริ่มคิดที่จะขัดเกลาอกุศล [เพราะถ้าไม่ศึกษา ไม่ฟัง แล้วจะเข้าใจอกุศลว่าเป็นธรรมได้อย่างไร] นี่คือคุณประโยชน์ของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ก็ตาม เมื่อเข้าใจ ย่อมจะได้ประโยชน์จากพระธรรมอย่างแท้จริง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผ้าเช็ดธุลี,คุณผเดิมและทุกๆ ท่านครับ...