วิถีจิตของมนุษย์ตามพระอภิธัมม

 
homenumber5
วันที่  19 ก.ค. 2554
หมายเลข  18769
อ่าน  4,130

เรียนท่านวิทยากร

ดิฉันพยายามอ่านทำความเข้าใจตามแต่จะหาอ่านได้ในเรื่องวิถีจิต ยังมิกระจ่าง จึงขอ เรียนท่านวิทยากรโปรดชี้แนะด้วย ว่าควรอ่านที่ใดบ้างที่อ่านง่ายเข้าใจง่าย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

วิถีจิต คือ จิตที่เป็นไปตามแนวทาง หมายถึง จิตซึ่งรู้อารมณ์ที่ปรากฏในโลกนี้ทาง ทวาร ๖ถ้าเป็นไปตามแนวทางปัญจทวาร เรียกว่า ปัญจทวารวิถีจิต ถ้าเป็นไป ตามแนวทางมโนทวาร เรียกว่า มโนทวารวิถีจิต

สามารถอ่านเพิ่มเติมในหนังสือปรมัตถธรรมสังเขปได้ครับ รวมทั้งพระอภิธรรมใน ชีวิตประจำวัน ที่สามารถดาวโหลดอ่านได้ครับที่ เมนูหน้าแรก คือ หนังสือธัมมะครับ ดังนั้นการเข้าใจวิถีจิตนั้นจะเข้าใจได้จะต้องมีพื้นฐานเรื่องจิตและอื่นๆ อย่างมั่นคง ก่อน ก็จะทำให้เข้าใจวิถีจิตเพิ่มขึ้นซึ่งวิถีจิตก็คือ ชีวิตประจำวันนั่นเองในขณะนี้ครับ ที่กำลังเห็น ได้ยิน คิดนึก เป็นต้นครับ

คลิกอ่านได้ที่นี่ครับ -->

วิถีจิต

ปัญจทวารวิถีจิต

มโนทวารวิถีจิต

เข้าใจวิถีจิต เป็นปัจจัยให้สติเกิด

วิถีจิตทางปัญจทวาร

ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐

ปัญจวิญญาณธาตุ

ปัญจวิญญาณ

คลิกอ่านเพิ่มเติม -->

ศึกษาจิต เจตสิกรูป เพื่ออบรมเจริญสติปัฏฐาน

ศึกษาพระไตรปิฎกเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 ก.ค. 2554

การศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า จุดประสงค์ที่ถูกต้องคือเป็นไปเพื่อละ ขัดเกลา กิเลสอันเกิดจากปัญญาที่เจริญรู้ความจริงในสิ่งที่มีในขณะนี้ พระอภิธรรมเป็นสิ่งที่มี จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีอยู่ในหนังสือ แต่อาศัยการศึกษาจากพระธรรมที่พระองค์ ทรงแสดงแม้ในเรื่องของพระอภิธรรมก็เพื่อเข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้ เข้าใจว่าเป็น ธรรมไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา

สิ่งใดที่พระพุทธองค์ทรงแสดงสิ่งนั้นย่อมเป็นประโยชน์เพราะพระองค์จะไม่ตรัส ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เลย แต่พุทธศาสนิกชนต้องเป็นผู้มีความแยบคายในการศึกษา พระธรรม พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องวิถีจิต พระองค์จะไม่ทรงแสดงสิ่งที่ไม่มีจริงและ ไม่เป็นประโยชน์เลย วิถีจิตเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นการแสดงถึงการสืบต่อของจิตแต่ละขณะ ที่เกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริง ผู้ที่ศึกษาด้วยความแยบคายคือเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม เป็นอนัตตาครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 19 ก.ค. 2554

จิตจำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. จิตที่เป็นวิีถีจิต คือ จิตทีเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

2. จิตที่ไม่ใข่วิถึจิต คือ ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยทวารค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
homenumber5
วันที่ 19 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

เห็นด้วยค่ะว่าสิกขาธัมเพื่อรู้และเพื่อให้ถึงมัคค ผล นิพพาน กระบวนการวิถีจิตที่ดิฉันต้องการทราบคือว่า หากเวลาปัจจุบันนี้ เราจะทำอย่างไรให้จิตของเราอยู่ในวิถีจิตที่ไปสร้างกุสล ไม่ไปหาอกุสล เพราะตลอดเวลาที่มิได้ฟังะรรม ตา หู ฯลฯ เราก็สอดส่ายเพื่อหาโลภะ โทสะ มาใส่จิตและตนเอง บางท่านสอนว่าให้คิดถึงคำสอนพระพุทธองค์ตลอดเวลาที่ระลึกได้ (๑) บ้างก็ให้ดูจิต ซึ่งดิฉันเข้าใจเองว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะที่จะติดตามดูจิตได้ทัน (๒) เพราะรู้อยู่แล้วว่าจิตทำงานรวดเร็วมากๆ จะไปตามดูทันได้หรือ

ส่วนที่บ้านธัมมะนี้ก็เน้นให้ฟังเทปอาจารย์สุจินต์บ่อยๆ เนืองตามรู้สถาพธรรม (๓) ซึ่งทั้ง สามวิธีดิฉันยังคิดว่าทำไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะความรู้สึกคือไม่กระจ่างแจ้งว่า อะไรเป็นอะไรในปรมัตถธรรม (ดิฉันอ่านปรมัตถธรรมของอสุจินต์จบไปแล้ว สองรอบ) คำถามคือ เราจะทำอย่างไรให้จิตของเราอยู่ในวิถีที่พาไปกุสล และมัคค ผลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 19 ก.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 5 ครับ

เรียนอย่างนี้ครับ แนวทางการอบรมปัญาที่ถูกต้องจะต้องรู้ก่อนครับว่า ปัญญาต้องรู้ อะไรเป็นอันดับแรก และปัญญาต้องละกิเลสอะไรเป็นอันดับแรก นั่นคือ การละความยึด ถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นเรา ที่สำคัญที่สุด ต้องเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อปัญญาน้อยและกิเลสมีมาก ก็ต้องเป็นธรรมดาที่ จะต้องมีเหตุปัจจัยให้อกุศลเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เป็นธรรมดา คำถามจึงมีว่าบังคับให้จิตเป็น กุศล ตามใจชอบได้หรือไม่ หรือทำให้จิตเป็นกุศล รู้ความจริงได้หรือไม่ คำตอบคือไมได้ เพราะหากไม่มีปัญญาพอก็ทำไมได้ และจะห้ามไม่ให้อกุศลเกิดได้ไหมครับ ก็ไมได้เช่น กันเพราะสะสมกิเลสมามาก ดังนั้นหนทางที่ถูกในการอบรมปัญญา จึงไม่มีเราที่จะไปทำ ให้จิตเป็นกุศล เพราะทำไมได้ครับ แต่อาศัยการฟังพระธรมในเรื่องสภาพธรรม ฟังไป เรื่อยๆ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นเอง แต่ทีละน้อยมาก ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้อกุศลเกิดขึ้น มากกว่ากุศลแน่นอนครับ

ดังนั้นหนทางการอบรมปัญญาจึงไม่ใช่การบังคับไม่ให้อกุศล เกิด และบังคับให้กุศลเกิด แต่หนทางที่ถูกต้อง คือ เข้าใจในสิ่งที่เกิดแล้ว เช่น อกุศล เกิดแล้วใช่ไหมครับ แต่เราก็เดือดร้อน เพราะเป็นเราที่เป็นอกุศล ไม่อยากมีอกุศล หน ทางที่ถูกคือเข้าใจอกุศลที่เกิดแล้วว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา การละกิเลสอันดับแรกจึงละ ความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลนั่นเองครับ เ มื่อปัญญาเจริญขึ้น ธรรมจะทำ หน้าที่เอง ดังนั้นไม่ต้องไปทำอะไร จัดการจิ ต ดูจิตหรือพยายามทำให้จิตเป็นกุศล แต่ อบรมเหตุคือฟังพระธรรมต่อไป เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาจะค่อยๆ ทำกิจรู้ตามความ เป็นจริงครับ ดังนั้นสบายๆ ด้วยความเข้าใจว่าไม่ต้องไปทำอะไร ฟังพระธรรม ศึกษา พระธรรม ปัญญาทำหน้าที่เองครับ จะรู้เมือ่ไหร่ก็เมื่อนั้น แต่ถ้าจะหาวิธีอื่น วิธีที่เป็นเราที่ จะทำ ก็ผิดครับ เพราะลืมความป็นอนัตตานั่นเอง

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาเพื่อ ความเจริญขึ้นของปัญญาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 19 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิตของใครจะเป็นอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งขณะที่เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล ก็ไม่พ้นจากวิถีจิตเลย เพราะหลังเห็นหลังได้ยิน เป็นต้น กุศลจิตหรือ อกุศลจิต ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล จริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง [เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว คนสัตว์ ไม่มี มีแต่ความเป็นไปของสภาพธรรมเท่านั้น] เมื่อฟังพระธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไปบังคับบัญชาสภาพธรรมได้ แต่เพื่อให้เราเข้าใจว่า สิ่งไหนจะดีกว่ากันระหว่างกุศลจิต กับ อกุศลจิต ซึ่งควรที่จะเข้าใจตรงนี้ก่อน และเมื่อเข้าใจจริงๆ แล้วก็จะเป็นเหตุปัจจัยทำให้กุศลจิตแต่ละประเภทเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่มีตัวตนที่บังคับเลย เพราะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย การฟังพระธรรมให้เข้าใจและเห็นโทษของอกุศล จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้กุศลจิตเกิดได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศลจิต ก็จะเดือดร้อนเพราะอกุศลจิตที่เกิดขึ้น และจะพอกพูนอกุศลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า กุศลจิต เกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัย โดยอาศัยความเข้าใจ และ การเห็นโทษของอกุศล ที่เกิดจากได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน เพราะถ้ายังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ยังละอกุศลไม่ได้ และถ้ายังไม่เข้าใจ ก็หมายความว่า ยังไม่เห็นโทษของอกุศล อยู่นั่นเอง จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมปัญญาไปตามลำดับ เพื่อละความไม่รู้ เพื่อเห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง และเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ต่อไป "เข้าใจธรรม ตามกำลังปัญญาของตนเอง" ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
homenumber5
วันที่ 23 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ขออนุโมทนาที่ท่านวิทยากรได้สนใจให้ ความกระจ่างและมีผู้เข้ามาอ่านกระทู้นี้อีกมาก โดยสรุปคือให้ฟังพระธรรมให้บ่อยๆ เสมอๆ ยิ่งดีเพื่ออบรมให้เกิดปัญญา จนเกิดกุสลกั้นอกุสลไปเอง เพราะไม่มีตัวเราที่จะบันดาลให้ เกิดกุสล กั้นอกุสลได้ เรื่องของเรื่องคือเรายังมีโมหะ อวิชชา ที่สำคัญว่าตนนั้นมีตัวตนจะ บังคับจิตใจได้ พลันต้องระลึก ถึงอานัตตลักขณสูตรที่ทรงเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ จนพระอัญญาโกณฑัญญะสำเร็จอรหันต์

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
peem
วันที่ 22 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ