"ยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล"

 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่  11 พ.ย. 2554
หมายเลข  20010
อ่าน  5,628

กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงครับ

ขออนุญาตยกข้อความบางส่วนนะครับ ความว่า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ หน้า ๓๖ เรื่องนายพรานกุกุกฏมิตร [๑๐๒]

พวกภิกษุสนทนากันว่า " ได้ยินว่า ภริยาของนายพรานกุกกุฏมิตรบรรลุโสดาปัตติผลในกาลที่ยังเป็นเด็กหญิงนั่นแล แล้วไปสู่เรือนของนาย-พรานนั้น ได้บุตร ๗ คน. นางอันสามีสั่งตลอดกาลเท่านี้ว่า ' หล่อนจงนำธนูมา นำลูกศรมา นำหอกมา นำหลาวมา นำข่ายมา.' ได้ให้สิ่งเหล่านั้นแล้ว, นายพรานนั้นถือเครื่องประหารที่นางให้ไปทำปาณาติบาต;แม้พระโสดาบันทั้งหลายยังทำปาณาติบาตอยู่หรือหนอ? " พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า" ด้วยเรื่องชื่อนี้." ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำปาณาติบาต. แต่นางได้ทำอย่างนั้น ด้วยคิดว่า 'เราจักทำตามคำสามี.'จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต;จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้ฉันใด ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน, ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ๘. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส หเรยฺย ปาณินา วิส นาพฺพณ วิสมเนฺวติ นตฺถิ ปาป อกุพฺพโต. " ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยา พิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่า มือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่ ฉันนั้น."

เรียนถามว่า

๑ การที่นางฯ มอบสิ่งที่ถือว่าเป็นเครื่องมือในการทำปาณาติบาต ให้แก่สามี นั้น จิต

ของนาง ไม่มีไปในการส่งเสริม หรือ เจาะจงให้ฆ่า แต่เพียงเพื่อทำตามคำสั่งสามีเท่า

นั้น ชื่อว่า นางไม่ผิดปาณาติบาติ

๒ แล้วผู้ที่ค้าขายผลิต เช่น มีด ปืน ธนู (บางกรณีก็เพื่อการกีฬา) ระเบิด สุรา บุหรี่ ก็

ลักษณะเดียวกันหรือไม่ครับ ที่คนขายและผลิตไม่ผิด

๓ แต่เป็นอาชีพที่ไม่เป็นสัมมาใช่ไหมครับ และ การมีอาชีพที่ไม่เป็นสัมมาอาชีพ ก็เท่า

กับไม่ดำรงตามมรรค ๘ อย่างนี้มีผลทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรม หรือไม่ครับ

กราบรบกวนอาจารย์ด้วยครับ และ ขอบพระคุณอย่างสูงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

๑. การที่นางฯ มอบสิ่งที่ถือว่าเป็นเครื่องมือในการทำปาณาติบาต ให้แก่สามี นั้น จิตของนาง ไม่มีไปในการส่งเสริม หรือ เจาะจงให้ฆ่า แต่เพียงเพื่อทำตามคำสั่งสามี

เท่านั้น ชื่อว่า นางไม่ผิดปาณาติบาติ

-------------------------------------------------------------------------------

เมื่อพูดถึงประเด็นปาณาติบาตแล้ว คือ จะต้องมีเจตนาฆ่า และมีความพยายามที่จะฆ่า

และสัตว์นั้นตายเพราะพยายามนั้นครับ ดังนั้น จะเป็นปาณาติบาต ก็ต้องมีเจตนาฆ่าสัตว์

นั้นเป็นสำคัญ ซึ่งสำหรับเรื่องที่ผู้ถามได้ยกมานั้น พระภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า นางเป็น

พระโสดาบัน แต่ยังทำบาป คือ ปาณาติบาตอยู่หรือ ซึ่งในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

พระโสดาบันย่อมไม่ทำบาป แม้แต่เพียงคิดแม้จะฆ่า ไม่ต้องกล่าวถึงการทำปาณาติบาต

เพียงแต่ว่า นางทำตามคำสั่งของสามีที่ให้หยิบอาวุธให้ แต่นางไมได้มีเจตนาฆ่าสัตว์แม้

ด้วยใจเลยครับ ภรรยาของนายพราน จึงทำตามคำสั่งสามี และไม่มีเจตนาฆ่า และไม่มี

แม้จิตที่ส่งเสริมให้สามีฆ่า ส่งเสริม และแม้ยินดีในการฆ่าก็ไม่มี สำหรับพระโสดาบันครับ

ดังนั้นการกระทำอย่างเดียวกัน คือ หยิบอาวุธให้ของแต่ละคน แต่จิตต่างๆ กันไปได้

ครับ ดังพระคาถาที่ตรัสไว้ว่า

ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยา

พิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่า

มือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่ฉันนั้น."

ถ้าแผลไม่มีอยู่ แม้จะหยิบยาพิษ หยิบสิ่งที่ไม่ดี แต่ไม่มีแผล พิษก็ไม่ทำร้ายร่างกายคน

นั้น เพราะพิษไม่ซึมเข้าร่างกาย เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่มีเจตนาทำบาป แม้กระทำการส่ง

อาวุธ แต่ไมได้มีเจตนาฆ่า ก็ไม่ชื่อว่าทำบาปครับ บาปย่อมไม่มีกับผู้ไม่มีเจตนาทำบาป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

๒ แล้วผู้ที่ค้าขายผลิต เช่น มีด ปืน ธนู (บางกรณีก็เพื่อการกีฬา) ระเบิด สุรา บุหรี่ ก็

ลักษณะเดียวกันหรือไม่ครับ ที่คนขายและผลิตไม่ผิด

-------------------------------------------------------------------------------

กรณีผู้ขาย ผู้ผลิต เช่น ขายอาวุธ ผลิตอาวุธ ถ้าไมได้มีเจตนาฆ่า เพียงแต่เจตนาขาย

อาวุธ ผลิตอาวุธสำหรับขาย เพื่อดำรงชีพ อันนี้ไม่เป็นปาณาติบาตครับ เพราะไม่ได้มี

เจตนาฆ่า เช่นเดียวกับกรณีของข้อที่ 1 เหมือนกับตรงที่ไม่มีเจตนาฆ่าเช่นกัน นี่เราพูด

ถึงประเด็นที่ผู้ขาย ผู้ผลิต ไมได้มีเจตนาฆ่านะครับ แค่ขายดำรงชีพ แต่ก็เป็นไปได้เช่น

กัน ที่ผู้ขายอาวุธ มีเจตนาไม่ดี อยากจะฆ่าบุคคลนั้น จึงส่งเสริมหรือขายให้ผู้อื่นไปฆ่า

คนนั้น มีเจตนาฆ่าแล้ว และถ้าผู้นั้นตาย กรรมสำเร็จเป็นปาณาติบาตได้ แม้จะเป็นผู้ขาย

หรือ ผู้ผลิต เช่นกันครับ ดังนั้น ข้อ 2 ที่ผู้ถามยกมา ก็เหมือนกับข้อที่ 1 คือ สำคัญที่มี

เจตนาฆ่าหรือไม่

ถ้าไม่มีเจตนาฆ่า เพียงขาย หรือ ผลิต เพียงดำรงชีวิต ก็ไม่เป็นปาณาติบาต เหมือน็

หยิบยาพิษ แต่พิษไม่เข้าฝ่ามือเพราะไม่มีแผล ไม่มีเจตนาฆ่าครับ แต่ถ้ามีเจตนาฆ่า ก็

เป็นปาณาติบาตได้ เช่นเดียวกับผู้ที่ส่งอาวุธให้ และมีเจตนาฆ่า สัตว์ตาย ก็เป็น

ปาณาติบาตเช่นกันครับ เพียงแต่ว่า ความละเอียดของข้อ 2 และข้อ 1 ต่างกันตรงที่ว่า

ข้อที่ 1 ที่ภรรยานายพรานส่งอาวุธให้ ภรรยานายพราน ไม่ได้เป็นผู้ประกอบอาชีพที่

ไม่ดีเพียงทำตามคำสั่ง แต่สำหรับผู้ค้าอาวุธ หรือผลิตอาวุธ รวมทั้ง ประกอบอาชีพที่

ไม่ดี เช่น ค้าเนื้อ ค้ามนุษย์ ค้ายาพิษ แม้จะไม่มีเจตนาฆ่า ดังเช่น ภรรยานายพราน แต่

ประกอบอาชีพที่ไมดี เป็นมิจฉาอาชีวะ ซึ่งเป็นอาชีพที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ และ

ไม่ควรกระทำครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 11 พ.ย. 2554

๓ แต่เป็นอาชีพที่ไม่เป็นสัมมาใช่ไหมครับ และ การมีอาชีพที่ไม่เป็นสัมมาอาชีพ ก็

เท่ากับไม่ดำรงตามมรรค ๘ อย่างนี้มีผลทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรม หรือไม่ครับ------------------------------------------------------------------------------- อาชีพที่ไม่ควรทำ มี 5 ประการครับ การค้าขายศัสตรา ๑ การค้าขายสัตว์ ๑

การค้าขายเนื้อสัตว์ ๑ การค้าขายน้ำเมา ๑ การค้าขายยาพิษ ๑ ดูก่อนภิกษุ-

ทั้งหลาย การค้าขาย ๕ ประการนี้แล อันอุบาสกไม่พึงกระทำ. ซึ่งไม่เป็นสัมมาอาชีวะ

แต่เป็นมิจฉาอาชีวะครับ ซึ่งในสัมมาอาชีวะในอริยมรรคมีองค์ 8 มีความละเอียดครับ แม้จะประกอบอาชีพที่ไม่

เหมาะสม แต่ก็ไม่เป็นเครื่องกั้นของการอบรมปัญญา เพราะว่า สัมมาอาชีวะจะเกิดและ

บริบูรณ์ได้ก็ด้วยการเจริญอบรมสติปัฏฐาน ซึ่งการเจริญสติปัฏฐานสามารถเจริญได้ ไม่

ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตามครับ ซึ่งขณะที่ปัญญาถึงการดับกิเลส เป็นมรรคจิต ขณะ

นั้นมีมรรค มีองค์ 8 เกิดขึ้นพร้อมกัน รวมทั้งมีสัมมาอาชีวะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งขณะนั้นก็งด

เว้นอาชีพที่ไมดีโดยถาวร เมื่อถึงความเป็นพระอริยบุคคลที่เป็นพระโสดาบัน เมื่อมรรค

จิตเกิดขึ้นครับ

ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนก็ยังมีการประกบออาชีพที่ไม่เหมาะสมได้เป็นธรรมดา ดังนั้น

การอบรมปัญญา ไม่ใช่ว่าจะต้องทำมรรคแต่ละอย่าง เช่น ทำสัมมาทิฏฐิก่อน ค่อยทำ

สัมมาสังกัปปะ แต่ขณะที่เจริญสติปัฏฐาน องค์มรรคประการต่างๆ ก็เกิดพร้อมๆ กันด้วย

ในขณะนั้น และเมื่อปัญญาเจริญสูงสุดก็ละเว้นอาชีพที่ไมด่ไปเอง แม้ในเรื่องนายพราน

กุกุกฏมิตรที่คุณผ้าเช็ดธุลียกมานั้น แม้ตัวนายพรานก็ประกบออาชีพที่ไม่ดี คือ ฆ่าสัตว์

และค้าเนื้อสัตว์ แต่ท่านเคยอบรมปัญามาในสมัยอดีตชาติในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แต่

เพราะความเป็นปุถุชน ชาตินี้ก็ยังประกอบอาชีพที่ไม่ดี แต่เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เมื่อออก

ไปล่าสัตว์ พบพระพุทธเจ้า ท่านได้ฟังพระธรรม ก็ได้บรรลุความเป็นพระโสดาบัน แม้แต่

ก่อนท่านจะประกอบอาชีพที่ไม่ดีก็ตา ม ดังนั้น ปัญญาสามารถเกิดขึ้น ไม่ว่าจะประกอบ

อาชีพอะไร และไม่เป็นเครื่องกั้นในการบรรลุธรรม เพียงแต่วาเมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็จะ

ค่อยๆ เห็นโทษของการประกอบอาชีพที่ไม่ดี และจะงดเว้นไม่ประกบออาชีพที่ไม่ดีอีก

เลย เมื่อถึง มรรคจิต ถึงการดับกิเลส เป็นพระโสดาบันครับ ซึ่งนายพรานนั้นก็งดเว้นจาก

อาชีพที่ไม่ดีเด็ดขาดเมื่อท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วครับ เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

การประกอบอาชีพที่ขัดต่อศีล 5

อาชีพที่ไม่ควรประกอบ [วณิชชสูตร]

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขออนุญาตร่วมสนทนา ด้วยครับ

พระอริยบุคคล [บุคคลผู้ประเสริฐ, ผู้ห่างไกลจากกิเลส ตามลำดับมรรค สูงสุด คือ พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ] ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปท่านมีปัญญาประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ตามความเป็นจริง ละกิเลสอันเป็นเหตุของการล่วงศีลได้แล้ว ท่านจึงไม่มีการล่วงศีลอีก ซึ่งจะแตกต่างจากปุถุชนอย่างสิ้นเชิง เพราะปุถุชน เป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็สามารถล่วงศีลข้อต่างๆ ได้ตามกำลังของกิเลส ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยทีเดียว อันดับแรก ควรที่จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบัน คือใคร? พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่หนึ่ง ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควรควรแก่มรรคที่ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด [เพราะยังไม่ใช่พระอรหันต์] พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี ดับความริษยา พระโสดาบันเป็นผู้มีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์ ครบถ้วน ไม่ล่วงศีล ๕ เลยพร้อมทั้งเป็นผู้มีศรัทธาอย่างมั่นคงในพระรัตนตรัย พระโสดาบันดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป กล่าวคือ บรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามีจนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด เมื่อมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นแล้วว่า พระโสดาบัน ไม่ล่วงศีล ๕ พอได้อ่านเนื้อเรื่องของภรรยานายพรานกุกกุฏมิตร ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วท่านไม่ล่วงศีล ๕ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นต้น แต่ท่านเป็นภรรยาของนายพราน ท่านก็จะต้องทำกิจหน้าที่ของภรรยา ด้วยการส่งอาวุธให้นายพรานผู้เป็นสามีตามคำบอกของสามี แต่ไม่มีเจตนาว่าขอให้สามีเอาอาวุธเหล่านี้ไปฆ่าสัตว์ และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า นายพรานผู้เป็นสามี ตอนที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ก็ฆ่าสัตว์แต่เพราะได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ไม่ฆ่าสัตว์อีกเลย จะเห็นได้ว่าแม้ในครั้งนั้น พระภิกษุทั้งหลาย ท่านก็สงสัยเหมือนกันในกรณีที่ภรรยาของนายพรานกุกกุฏมิตรส่งอาวุธให้สามี ว่าจะเป็นการกระทำปาณาติบาตหรือไม่? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งผลจากการแสดงพระธรรมในครั้งนี้ มีผู้ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล มากมายซึ่งก่อนหน้านั้น นายพรานกุกกุฏมิตร พร้อมด้วยบุตร ๗ คน ลูกสะใภ้อีก ๗ คน รวมเป็น ๑๕ คน ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้ว การเป็นพระโสดาบัน เป็นได้ด้วยปัญญา จะขาดปัญญา ไม่ได้เลย สำคัญที่เหตุคือ การได้คบกับผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมจากกัลยาณมิตรนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และเพราะได้สะสมปัญญามาแล้วในอดีต จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลได้ ซึ่งปัญญาที่ได้สะสมมานั้น ไม่สูญหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ครับ. ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ พระอริยเจ้าเท่านั้น ไม่ล่วงศีล 5 [อรรถกถา พหุธาตุกสูตร] ธรรมที่พระโสดาบันละได้แล้ว [ปหีนสูตร]

สัมมาอาชีวะ หมายถึง การเลี้ยงชีพ การประกอบอาชีพที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือ การงดเว้นจากกายทุจริต จากวจีทุจริต อันเกี่ยวเนื่องด้วยอาชีพ เพราะฉะนั้น แล้ว อาชีพใดก็ตาม ที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนสัตว์อื่น ก็ไม่ควรที่ประกอบ เพราะนั่นเป็นมิจฉาอาชีวะ ไม่ใช่สัมมาอาชีวะ เพราะเหตุว่า อาชีพสุจริต ที่สามารถจะกระทำได้มีมาก ควรที่จะกระทำเฉพาะอาชีพที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมเท่านั้น ควบคู่ไปกับการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 11 พ.ย. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 12 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 13 พ.ย. 2554
อนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผ้าเช็ดธุลี
วันที่ 14 พ.ย. 2554

* * * กราบขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองอย่างสูงครับ * * *

และ

อนุโมทนากุศลจิต ที่เกิดจากการบรรยายตอบด้วยครับ

* * * ------------------------------------- * * *

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 15 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ