นิพพานอยู่ที่ไหน จะไปทางไหน
กิเลเส มาเรนโต คัจฉะติ เอเตนาติ มัคโคฯ
กิเลเส - กิเลส ๑๐ ประการ ซึ่งแยกออกเป็น ๑,๕๐๐ อย่างนั้น มาเรนโต - กำจัดตัดฆ่าให้ขาดสะบั้นลงไป คัจฉะติ - ดำเนินไปอยู่ เอเตนาติ - เพราะเหตุที่กำจัดตัดฆ่ากิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ดำเนินไปอยู่อย่างนั้น มัคโค - จึงได้ชื่อว่า มรรค คือการกำจัดมวลกิเลสแล้วดำเนินไปสู่พระนิพพาน เรียกว่า มรรค ดังนั้น การดำเนินไปสู่พระนิพพานก็ต้องดำเนินไป ตามมรรค ๔ ประการ (โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) นั่นเอง เพราะมรรคก็คือทางสายเอกสู่นิพพาน นิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่ที่
๑. กิเลสดับสงบเย็นเรียกว่า "กิเลสนิโรธหรือสอุปาทิเสสนิพพาน"
๒. ขันธ์ที่เป็นของเทวดามนุษย์และพรหมดับสงบเย็น เรียกว่า "ขันธนิโรธหรืออนุปาทิ-เสสนิพพาน"
ธรรมสากัจฉาครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียน สนทนาธรรมด้วย ครับ
สำหรับนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดขึ้นและดับไป ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คำถามที่ถาม คือ นิพพาน อยู่ที่ไหน นิพพาน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีสถานที่ที่เป็นพระนิพพานแต่พระนิพพานก็มีอยู่ ผู้ที่จะประจักษ์พระนิพพาน คือขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้น โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ขณะนั้น ประจักษ์พระนิพพาน ประจักษ์ตัวสภาพธรรมที่เป็นพระนิพพาน หรือขณะที่เข้าผลสมาบัติ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยนัยนี้ที่กล่าวมา กล่าวถึงการถึงหรือมีตัวพระนิพพานจริงๆ เป็นอารมณ์
ส่วนสอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้วแต่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ คือยังไม่สิ้นชีวิต เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในวันนั้นพระองค์ดับกิเลสหมดแต่พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน การดับกิเลสหมดสิ้น ดังนั้น คำว่านิพพาน ในที่นี้เป็นการแสดงความหมายของคำว่านิพพานที่หมายถึง ดับ เย็นสนิท ดังนั้น จึงมุ่หมายถึงการดับสนิทของกิเลสนั่นเองครับ แต่ขณะที่ประจักษ์ตัวพระนิพพาน ต้องเป็นขณะตามที่ผมกล่าวมาข้างต้นครับ จึงเป็นการสื่อความหมายถึงคำว่าพระนิพพาน ซึ่งขณะที่ดับกิเลสหมดสิ้นนั้น ก็เป็นอรหัตตมรรคจิต ก็ประจักษ์พระนิพพานในขณะนั้นที่เป็นตัวพระนิพพานจริงๆ ครับ
ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน คือการดับสนิทของสภาพธรรมทั้งหมดทั้งขันธ์ ๕ คือทั้งรูปและนามหมดสิ้น เช่น ในวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานที่กุสินารา คือไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรอีกเลย ใช้คำว่านิพพานด้วย คืออนุปาทาทิเสสนิพพาน แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องไปอยู่หรือไปนิพพานนะครับ แต่เป็นการแสดงความหมายของคำว่านิพพานที่ดับสนิทอีกเช่นกัน นั่นคือดับสนิทจริงๆ คือไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรอีก จึงใช้ชื่อเรียกโดยใช้คำว่านิพพานด้วยครับ เป็นประเภทอนุปาทาทิเสสนิพพาน แต่ขณะที่ประจักษ์ตัวพระนิพพานจริงๆ ก็เป็นตามที่กล่าวข้างต้น คือมรรคจิต ผลจิต ขณะเข้าผลสมาบัติ ครับ
ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เป็นอกุศลธรรมที่ใครก็ตามที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น เพราะพระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นผู้หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้น พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น พระโสดาบันดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง กล่าวคือดับความเห็นผิดทุกชนิด ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยาได้ พระสกทาคามีไม่ได้ดับกิเลสเพิ่มเติมต่อจากความเป็นพระโสดาบัน แต่ได้กระทำโลภะ โทสะให้เบาบาง พระอนาคามีดับความติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และดับความโกรธได้ ส่วนกิเลสที่เหลือนั้น เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ดับได้อย่างหมดสิ้น มีความติดข้องในภพและอวิชชา เป็นต้น จะเห็นได้ว่ากิเลสที่มีมาก สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์นั้น ก็สามารถดับได้เมื่อมีการอบรมเจริญปัญญา ดำเนินตามทางที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลส คืออริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเข้าใจถูกเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เป็นต้น อันเป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เมื่อปัญญาเจริญมากขึ้นคมกล้าขึ้น ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ตามลำดับ เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นพระอริยบุคคลทุกระดับขั้นเป็นผู้ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน (เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นธรรมที่ดับทุกข์ดับกิเลส ตรงกันข้ามกับสภาพธรรมที่เกิดดับอย่างสิ้นเชิง พระนิพพานไม่ใช่สถานที่ ไม่ใช่ที่อยู่) และเมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นแล้วดับก็เป็นปัจจัยให้ผลจิตเกิดสืบต่อทันที ทำให้ผู้ที่ได้บรรลุนั้นเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น กิเลสที่ดับได้แล้วจะไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ พระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ดับกิเลสได้โดยรอบโดยประการทั้งปวงไม่มีเหลือ (กิเลสปรินิพพาน) แต่ชีวิตของพระอรหันต์หลังจากที่ได้บรรลุแล้วก็จะต้องดำเนินต่อไป เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไป กล่าวคือมีขันธ์เกิดขึ้นเป็นไป แต่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลสใดๆ ทั้งสิ้นจนกว่าจะถึงเวลาดับขันธปรินิพพาน (ดับโดยรอบซึ่งขันธ์) เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นอีกเลย เพราะดับเหตุที่จะทำให้มีการเกิด คือกิเลสได้อย่างหมดสิ้นแล้ว ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
นิพพานไม่มีที่อยู่ นิพพานไม่ใช่เมืองแก้ว การจะดับกิเลสก่อนอื่นจะต้องมีที่พึ่งคือพึ่งพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพราะถ้ามีศรัทธาเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะไม่ขาดการศึกษาพระธรรม เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์