ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๒๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔]
* ในบรรดาบุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าใครมีสติปัญญาที่จะพิจารณาตั้งแต่ยังไม่ชรา หรือยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า ไม่มีใครที่สามารถจะพ้นไปจากความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย ได้เลย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมจะเกิดความพยายาม มีความเพียรที่จะทำให้ถึงการพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น แม้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะถึง แต่ก็มีทางที่จะถึงได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
* มีชาติ (การเกิด) เกิดขึ้นขณะใด สามารถพิจารณาได้เลยว่า ย่อมนำมาซึ่งชรา (ความแก่) พยาธิ (ความเจ็บป่วย) และ มรณะ (ความตาย) อย่างแน่นอน บุคคลที่เกิดมาแล้ว หรือวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดมาแล้ว ที่จะไม่เก่าคร่ำคร่า ไม่ชราลง ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และในที่สุดก็จะต้องแตกสลายไปเป็นธรรมดา
* ขณะที่เป็นอกุศล มีมากกว่าขณะที่เป็นกุศล ถ้าชาตินี้หมดไป คือ ผ่านไป ซึ่งในที่สุดก็จะต้องหมดไปแน่นอน ผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดเหลือในความเป็นบุคคลนี้อีก และเมื่อเกิดในชาติหน้า อาจจะรู้สึกเสียดายว่าชาตินี้ทำกุศลน้อยไปหรือว่าเสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีสาระมากไป ที่เป็นผู้ประมาทมัวเมา ย่อหย่อนต่อการเจริญกุศลประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ไม่ได้ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเลย ซึ่งน่าเสียดายมาก
* คนที่เที่ยวหวังร้ายต่อใครๆ คนอื่นจะคบคนนั้นหรือไม่? เพียงได้ทราบถึงความคิดหรือความมุ่งร้ายของคนนั้นที่มีต่อคนอื่น ก็ทำให้ไม่มีใครคบค้าสมาคมกับคนนั้น แล้ว
* ความเฉลียวฉลาดในทางโลกต่างกับความเฉลียวฉลาดในทางธรรม ถ้าไม่ได้สะสมปัญญาในทางธรรมที่จะพิจารณาเหตุผลโดยรอบคอบ โดยถี่ถ้วน โดยถูกต้อง อาจจะมีความฉลาดในทางโลก แต่ว่าไม่สามารถจะเข้าใจเหตุผลในทางธรรมได้เลย เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมาที่จะเข้าใจเหตุผลในทางธรรม บางคนศึกษาวิชาทางโลกไม่เก่ง คำนวณไม่ชอบเลย เป็นต้น แต่ว่าท่านสะสมการพิจารณาศึกษาธรรม ท่านก็สามารถเข้าใจเรื่องของธรรมได้
* บุคคลผู้มีปัญญาย่อมรักษาจิตให้สม่ำเสมอ คือ เป็นกุศล ไม่เดือดร้อนกับเสียงคำครหา หรือคำกล่าวร้ายของผู้อื่น
* เวลาที่จิตและเจตสิกเกิด โดยสภาพที่เป็นนามธรรมแล้ว ไม่มีรูปธรรมใดๆ เจือปนเลย เพราะฉะนั้น ลักษณะของนามธรรม คือ จิตและเจตสิกเข้ากันสนิท ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย
* ไม่ควรเลยที่จะปล่อยให้เป็นอกุศลเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะสิ้นชีวิตไป ลองคิดถึงอกุศลในวันหนึ่งซึ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ได้ส่วนกับกุศลเลย แล้วจะเป็นอย่างไร?
* แม้ไม่ประทุษร้ายด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ใจคิดอย่างไร? บางทีใจคิดเบียดเบียน แต่ยังไม่ทำ ซึ่งก็อาจจะมีได้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ยังจะต้องเห็นว่า ในขณะนั้นจิตไม่สงบ เพราะเป็นอกุศล ไม่ควรเลยที่จะประทุษร้ายผู้อื่นจะด้วยวิธีใด ทางใดก็ตาม
* การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพื่อประโยชน์ คือ เข้าใจถูก เห็นถูก เพื่อละกิเลสทั้งหยาบ ทั้งกลาง ทั้งละเอียดที่สุด จนกระทั่งไม่สามารถเกิดได้อีกเลย นี่คือพระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีต่อสัตว์โลกทั้งปวง
* ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน จังหวัดไหน ภาคไหน ย่อมดีแน่ ถ้าได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
* ก่อนที่จะหายไปจากโลกนี้ (ซึ่งทุกคนจะต้องหายไปแน่ๆ แล้วแต่ว่าใครจะหายไปก่อนใคร) ควรทำอะไร?
* ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยปราศจากเหตุปัจจัย
* สิ่งที่นำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจจริงๆ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นความเข้าใจ พระธรรม สูงสุด คือ ทำให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลส ซึ่งทรัพย์สินเงินทองไม่สามารถ ทำให้เป็นอย่างนี้ได้เลย
* รู้ธรรมทีละหนึ่ง จะรู้พร้อมกันหลายๆ อย่าง ไม่ได้เลย
* สิ่งที่กำลังปรากฏยังไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร?
* สังสารวัฏฏ์ จะหมดสิ้นไปได้ ด้วยปัญญา
* กัลยาณมิตร สูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมอบให้ซึ่งสิ่งที่ดี ที่ล้ำค่าที่สุด คือ พระธรรม แล้วจะรับไหม?
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๒๓ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ทั้งหมดนี้ได้เตือนใจตนเอง ว่ายังเป็นคุณประมาทอยู่ครับทั้งที่เทวทูตทั้ง 4 คือ เด็กแรกเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็มีให้เห็นและมาเตือนอยู่ทุกวัน
ขออนุโมทนา อาจารย์คำปั่นครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
แม้ไม่ประทุษร้ายด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ใจคิดอย่างไร? บางทีใจคิดเบียดเบียน แต่ยังไม่ทำ ซึ่งก็อาจจะมีได้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ยังจะต้องเห็นว่า ในขณะนั้นจิตไม่สงบ เพราะเป็นอกุศล ไม่ควรเลยที่จะประทุษร้ายผู้อื่นจะด้วยวิธีใด ทางใดก็ตาม
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่นค่ะ
สิ่งที่นำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจจริงๆ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นความเข้าใจพระธรรม สูงสุด คือ ทำให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลส ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ไม่สามารถทำให้เป็นอย่างนี้ได้เลย
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น อักษรวิลัย และ ทุกๆ ท่านครับ