รูปขันธ์....

 
Patikul
วันที่  15 มี.ค. 2555
หมายเลข  20787
อ่าน  1,846

อยากทราบความหมายของคำว่า รูปขันธ์ ค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อกล่าวถึงรูปขันธ์แล้ว ย่อมหมายถึงรูปธรรมทั้งหมด ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ กล่าวคือ เป็นธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ รูปแต่ละรูปเกิดจากสมุฏฐานของตนๆ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน และเวลาเกิดนั้น ไม่ได้มีเฉพาะรูปนั้นๆ รูปเดียวเท่านั้น ยังมีรูปอื่นๆ ที่เกิดด้วยในกลุ่มของตนๆ สมุฏฐานที่เป็นที่ก่อตั้งให้รูปเกิดนั้น มี ๔ สมุฏฐาน คือ กรรม จิต อุตุ และ อาหาร โดยไม่ปะปนกัน รูปที่เกิดจากกรรมก็อย่างหนึ่ง รูปที่เกิดจากจิตก็อย่างหนึ่ง รูปที่เกิดจากอุตุอย่างอย่างหนึ่ง รูปที่เกิดจากอาหารก็อย่างหนึ่ง

ซึ่งเมื่อศึกษาไปตามลำดับก็จะเข้าใจว่า รูปใดเกิดจากสมุฏฐานใดได้บ้าง เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากรูป ๒๘ รูปนั่นเอง ยกตัวอย่างรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน เช่น จักขุปสาทรูป (ตา) ในกลุ่มของจักขุปสาทรูปนี้ มีรูป ๑๐ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส โอชา จักขุปสาทะ และ ชีวิตรูป ทั้ง ๑๐ รูปนี้ เกิดจากสมุฏฐานเดียวกันทั้งหมด คือ เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน กลุ่ม (กลาป) ของรูปที่เล็กที่สุดมีรูปรวมกัน ๘ รูป ที่เรียกว่าอวินิพโภครูป ๘ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส และโอชา

เมื่อศึกษาเรื่องรูป ก็เพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลในรูปธรรม ไม่ได้เลย เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ครับ

ขอเชิญคลิกฟังบรรยาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่นี่ครับ

รูปทุกรูปเกิดจากหนึ่งสมุฏฐาน

สมุฏฐานของรูป

รูปมีสมุฏฐานที่เกิดทั้งหมด ๔

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

รูป เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย รูปไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ซึ่ง รูปทั้งหมด มี ๒๘ รูป ซึ่ง รูป สามารถแบ่งเป็นหลายนัย ตามลักษณะของรูปและเหตุให้เกิดรูป ครับ แต่ก็ไม่พ้นจาก รูป ๒๘ บางครั้งแบ่ง รูป เป็น รูปที่มีลักษณะของตนเอง กับไม่มีลักษณะของตนเอง ที่เป็น สภาวรูป กับ อสภาวรูป ซึ่งก็ไม่พ้นจาก รูป ๒๘ บางครั้ง แบ่งเป็นรูปที่เป็น มหาภูตรูป ๔ กับ อุปทายรูป ๒๔ ที่อาศัย มหาภูตรูปจึงเกิดได้ บางนัย แบ่งเป็นรูปที่ละเอียด ที่เป็น สุขุมรูป และรูปหยาบ บางครั้งก็แบ่งรูป โดยนัย ที่เป็นรูปที่เที่ยวไป ในชีวิตประจำวัน ที่เป็นโคจรรูป หรือ วิสยรูป และ บางนัย ก็แบ่งรูป โดยนัย เหตุที่ให้เกิดรูป ที่เรียกว่า สมุฏฐานที่ทำให้เกิดรูป ซึ่ง สมุฏฐาน (เหตุ ให้เกิด) ที่ทำให้เกิดรูป มี ๔ สมุฏฐาน คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร ซึ่งทั้ง ๔ สมุฏฐาน ก็ไม่พ้นจากรูป ๒๘ เลยครับ

และเมื่อใช้คำว่า รูปขันธื คือ หมวด กองของรูป ซึ่ง รูปขันธ์ ก็หมายถึง รูปทั้งหมด ที่เป็น รูป ๒๘ แต่ก็แล้วแต่ครับว่า จะแบ่งรูปโดยนัยใด แบ่งโดย เหตุให้เกิดรูป (สมุฏฐาน) แบ่งโดยรูปที่มี สภาวะ ไม่มีสภาวะ แบ่งโดยนัยอื่นๆ ตามที่กล่าวมา ก็คือ รูปขันธ์นั่นเอง ครับ

ดังนั้น รูปขันธ์ที่เกิดจากสมุฏฐาน ๔ เกี่ยวข้องโดยตรงกับรูป ๒๘ เพราะไม่พ้นจากรูป ๒๘ นี้เลย ครับ

การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการศึกษาเรื่องรูป ไม่ใช่การจำว่ามีรูปอะไรบ้าง แต่สำคัญ คือ เข้าใจตามความเป็นจริงว่ามีแต่รูป ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลเพื่อเข้าใจถึงความเป็นอนัตตา ครับ

ขออนุโมทนา

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

สมุฏฐาน และ ปัจจัย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Patikul
วันที่ 16 มี.ค. 2555

เมื่อศึกษาเรื่องรูป ก็เพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ในรูปธรรม ไม่ได้เลย เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล

ที่ได้เรียนถามเรื่องรูปนั้น เพื่อศึกษาให้เข้าใจตามความเป็นจริง ว่าร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นเรานั้น เป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายอย่าง เป็นรูปแต่ละรูป (ที่เข้าใจว่ามารวมกัน (ใช่หรือไม่คะ)) ซึ่งมีการเกิด-ดับทุกขณะ

แปลว่าที่เข้าใจว่าเป็นกลุ่มก้อนร่างกายนั้น ... ไม่ใช่ จริงๆ เป็นแต่ละขณะ หรือแต่ละรูปที่เกิดพร้อมจิตระลึกรู้ เกิดขึ้นและดับไป ในที่สุดก็เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก การศึกษาก็ต้องเป็นผู้ละเอียดจริงๆ เพื่อความเข้าใจจริงๆ

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณkhampan.a และคุณpadermค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 16 มี.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

จากคำถามที่ว่า

ที่ได้เรียนถามเรื่องรูปนั้น เพื่อศึกษาให้เข้าใจตามความเป็นจริง ว่าร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นเรานั้น เป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายอย่าง เป็นรูปแต่ละรูป (ที่เข้าใจว่ามารวมกัน (ใช่หรือไม่คะ)) ซึ่งมีการเกิด-ดับทุกขณะ


ถูกต้องครับ ศึกษาเรื่องรูปเพื่อเข้าใจว่า ร่างกายของเรา ไม่ใช่เรา แต่เป็นการประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม และเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ เพื่อไถ่ถอนความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล เข้าใจถูกต้องแล้วครับ

มีข้อแนะนำอีกนิดครับ เรื่องการพิจารณาการเกิดดับของรูป สามารถพิจารณาได้ว่า สภาพธรรมไม่เที่ยง เพื่อเข้าใจขั้นการฟังว่า ไม่เที่ยง แต่การเห็นการเกิดดับจริงๆ ต้องเป็นปัญญาระดับสูง ระดับวิปัสสนาญาณ ดังนั้น ปัญญาขั้นแรก คือ รู้ว่ารูป เป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนี้มีเสียง เข้าใจว่าเสียง เป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือปัญญาขั้นต้น และรู้นามธรรมว่าไม่ใช่เรา โดยไม่ใช่เราที่รู้ แต่เป็นธรรม คือ ปัญญาที่รู้ ครับ

ขออนุโมทนาในความเห็นถูก ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วิริยะ
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Patikul
วันที่ 16 มี.ค. 2555

(ทั้งนาม และ รูป) รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่ง "รู้" ก็เป็นธรรมที่รู้ ไม่ใช่เรารู้

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Yongyod
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 17 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" เมื่อศึกษาเรื่องรูป ก็เพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ในรูปธรรม ไม่ได้เลย "

"เข้าใจตามความเป็นจริงว่ามีแต่รูป ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล เพื่อเข้าใจถึงความเป็นอนัตตา ขออนุโมทนาครับ"

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ