ควรจะใช้ธรรมะ

 
อรรถวาที
วันที่  3 ก.ค. 2555
หมายเลข  21339
อ่าน  1,618

ถูกแฟนทิ้ง เกิดความทุกข์ โศกเศร้า เสียใจมาก ควรจะใช้ธรรมะแก้ไขอย่างไรดี ขอคำแนะนำด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใด ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ยังไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่สามารถเอาธรรมไปใช้ได้ เพราะ ยังไม่มีธรรมที่ดีเกิดขึ้นในจิตใจ ดังนั้น แทนที่จะให้สบายใจขึ้น ก็ทำให้คนนั้น เข้าใจขึ้น เข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดแล้วว่า ความทุกข์ เป็นธรรมดา ทุกข์ มีเหตุปัจจัย จึงเกิดขึ้น คือ เพราะ มีกิเลส อาศัยความติดข้อง จึงเป็นปัจจัย ให้เกิดความทุกข์ใจได้

เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่จะคลายทุกข์ แต่เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ว่ามาจากอะไร และ จึงอบรมเหตุที่จะละ สิ่งที่ทำให้ทุกข์ คือ อบรมธรรม คือ ปัญญา เพื่อละกิเลส มีความไม่รู้ และ ความติดข้อง แต่ต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน

ธรรมไม่ใช่ยารักษาโรคที่ทานแล้วหายทันที เพราะ โรคที่เป็น คือ โรคกิเลสที่เป็นโรคเรื้อรัง สะสมกิเลสมามาก เพราะฉะนั้น เพียงจะให้ธรรมเพียงไม่กี่บท ศึกษาไม่นาน จะทำให้โรคกิเลสที่สะสมมานาน นับชาติไม่ถ้วน ให้หายทุกข์ใจไปในทันที คงไม่ใช่ และ ไม่ใช่วิธีแก้ที่ถูกต้อง ครับ

เพราะฉะนั้น หากจะหาวิธีที่จะทำ ที่จะให้หายทุกข์เร็วๆ เพียงธรรมไม่กี่บท ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ก็เปรียบเหมือนการทานยาชุด ที่หายตอนทานไม่นานเลย แต่กลับมาเป็นอย่างหนัก และ เรื้อรัง และ ยานั้นก็มีโทษด้วย ยิ่งมีโทษกับร่างกายเข้าไปอีก ฉันใด การจะใช้ธรรม โดยไม่เข้าใจธรรม เพียงศึกษาผิวเผิน เพื่อที่จะให้หายทุกข์ทันที ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แต่กลับเพิ่มความเป็นตัวตนที่จะทำ โดยลืมความเข้าใจธรรมเป็นสำคัญ ว่าจะเป็นยารักษาโรคที่ดี ถูกทาง โดยการศึกษาธรรมอย่างยาวนาน ครับ

ซึ่ง หากทานยาที่ตรงกับโรค และ ค่อยๆ รักษาไป อย่างถูกวิธี และ ร่วมกับ การออกกาย บริหาร เป็นต้น ก็ทำให้โรคค่อยๆ ทุเลา เบาบาง จนหายขาดได้ แต่ต้องใช้เวลานาน เพราะเป็นโรคร้าย การจะละกิเลส ไม่ให้ทุกข์ใจ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ก็ต้องด้วยวิธีที่ถูกต้อง ด้วยการศึกษาพระธรรมอย่างยาวนาน เปรียบเหมือนทานยาที่ถูกกับโรค และ เจริญกุศลทุกๆ ประการ อันเกิดจากความเข้าใจ ก็เหมือนการออกกำลังกายควบคู่กันไปกับการทานยา การสะสมความเข้าใจ และ เจริญอบรมบารมี กุศลธรรมประการต่างๆ อย่างยาวนาน ก็สามารถละกิเลส ไม่ต้องทุกข์ใจได้จริงๆ อย่างสิ้นเชิง

แม้ นางวิสาขา และ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นพระโสดาบัน เมื่อหลาน และ ลูกสาวสิ้นชีวิต ท่านทั้งสองก็ร้องไห้ เสียใจเป็นอย่างมาก ไม่มีใครห้ามความทุกข์ใจได้ ทุกข์ใจเกิดแล้ว แต่ท่านก็ไม่ไปแสวงหาทางผิดที่จะมีตัวตนที่จะไปบังคับ ไม่ให้ทุกข์ใจ แต่ หนทางคือ ท่านเข้าใจในสิ่งที่เกิดแล้ว แม้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะท่านสะสมปัญญามา นี่คือหนทางที่ถูกต้อง คือ หนทางที่เข้าใจ ไม่ใช่หนทางที่จะทำ ครับ ซึ่งจะมีปัญญาได้ก็ต้องศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด และ ยาวนานมากๆ ครับ

ธรรม จึงไม่ใช่ยาที่จะรักษาโรคใจให้หายทันทีแต่ ธรรมเป็นเรื่องของความเข้าใจ ที่จะต้องอาศัยการศึกษาพระธรรมอย่างยาวนาน ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

อกหักทำอย่างไรดี

อกหัก กินข้าวไม่ลง

ความสุขใจ ความทุกข์ใจ เป็นเรื่องของความคิด

เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ

ทุกข์เพราะคิด

ทุกข์เพราะหวัง

ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่มีทุกข์

ความทุกข์ทั้งหลายมาจากอกุศล

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่ยังมีความเศร้าโศกอยู่นั้น ก็เพราะยังมีกิเลส ยังมีความติดข้อง ยินดี พอใจ ยังมีอวิชชา อยู่ จึงต้องมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกิเลสของตนเอง ถ้าไม่มีกิเลสเลย ความเศร้าโศกเสียใจ ความประพฤติเป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลประการต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่เมื่อได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธทรงแสดง ย่อมจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสามารถที่จะละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ละคลายความเศร้าโศกเสียใจ ละคลายอกุศลในชีวิตประจำวันได้ เพราะเหตุว่า เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมมากขึ้น ก็ย่อมจะอุปการะเกื้อกูลต่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ

เพราะฉะนั้นแล้ว การศึกษาพระธรรม ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงเป็นกิจที่ควรทำอย่างยิ่ง กิเลสทั้งหลายที่มีนั้น ถ้าไม่ได้เริ่มฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะขัดเกลาละคลายให้เบาบางลงไปได้เลย

ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่จะเห็นประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น และเพื่อขัดเกลากิเลสอกุศลของตนเองต่อไป. และที่น่าพิจารณาอีกประการหนึ่ง คือ ชีวิตในภพหนึ่งชาติหนึ่งสั้นมาก ขณะนี้ได้เกิดเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ ก็เป็นที่พักเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องหายไปจากโลกนี้แน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ในระหว่างที่ยังไม่หายไปนั้น ควรทำอะไร? จึงควรอย่างยิ่งที่จะเป็นคนดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะที่พึ่งจริงๆ ไม่ใช่บุคคลอื่น ไม่ใช่สิ่งอื่น แต่เป็นกุศลธรรม เท่านั้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pat_jesty
วันที่ 3 ก.ค. 2555

บุคคลเมื่อยังมีความติดข้องและความไม่รู้อยู่ ก็มักจะเสียใจเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้นเป็นธรรมดา แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรพิจารณาว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจมากจนเกินไป เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นไปแล้ว ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรอีกไม่ได้แล้ว (แท้ที่จริงแล้ว ธรรมเกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีกเลย ...) มีแต่ขณะนี้ และขณะต่อๆ ไป ว่าจะเลือกใช้ชีวิตและอยู่ต่อไปอย่างไร การที่คนรักจะกลับมาหรือไม่นั้น ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการร้องไห้ การเรียกร้องหรืออาลัยอาวรณ์ของเรา เรื่องของบุคคลอื่นก็เป็นเรื่องของบุคคลคนอื่น จะห้ามให้คิด ให้ทำอย่างไรก็ไม่ได้ ... เกิดมาคนเดียว สุดท้าย ก็ต้องจากโลกนี้ไปคนเดียวเหมือนกัน สิ่งที่ควรพิจารณาคือ การใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์สูงสุด คือ การเป็นคนดี และศึกษาพระธรรมเพื่อเกื้อกูลให้เข้าใจถูกเห็นถูก และเป็นคนดียิ่งขึ้น เพราะถ้ามั่นคงในเหตุและผลแล้ว ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว

แต่คำพูดปลอบใจใด ก็อาจช่วยได้แค่เพียงชั่วคราว นอกจากความเข้าใจความจริง ตามพระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วเท่านั้น ที่จะช่วยละคลาย และดับต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาพิจารณาไตร่ตรอง และสะสมความรู้ถูกเห็นถูกเป็นระยะเวลายาวนาน ค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต อ.ผเดิม, อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ถูกแฟนทิ้งร้องไห้ พูดให้เขาคิด เช่น เขาไม่ใช่เนื้อคู่เรา เราไม่ได้ทำบุญร่วมกันมา ถ้ามีเวลาก็ให้อยู่เป็นเพื่อนเขา ไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนเขา เขาจะได้รู้สึกไม่เหงา และ การที่จะให้ธรรมะใคร ก็ต้องขึ้นอยู่กับการสะสมบุญมาในอดีตของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"แล้วหนูจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรคะ"

"มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาซิคะ"

"ปัญญาจะมีได้ก็ด้วยการฟังพระธรรม"

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เข้าใจ
วันที่ 5 ก.ค. 2555

คุณไม่เข้าใจหรือว่า ใครๆ เขาก็ทิ้งกันทั้งนั้นแหละครับ ไม่มีอะไรเลยในโลกใบนี้ที่เกิดมีขึ้นมาแล้วจะไม่ทิ้งกันไป ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์สิ่งของอะไรๆ ทุกชนิด ในที่สุดแล้วก็ต้องทิ้งกันไป อย่าว่าแต่แฟนทิ้งเลย ไม่ต้องห่วงมากหรอกครับ อีกไม่กี่วันเดี๋ยวก็มีแฟนใหม่แล้ว มาดูกันตรงนี้ดีกว่าไหมครับ ว่าจะมีอะไรที่เขาจะทิ้งเราไปบ้าง เห็นทิ้ง ได้ยินทิ้ง รู้กลิ่นแล้วทิ้ง รู้กระทบสัมผัสแล้วทิ้ง พิจารณาดูแล้วไม่มีสิ่หนึ่งสิ่งใดเลยที่เขาจะไม่ทิ้งกันไป ถ้าไม่ทิ้งกันไปก็เที่ยงน่ะซิ คือไม่ทิ้งกันไป

โดยความเป็นจริงแล้วทุกสัพพสิ่งล้วนผันแปรเปลี่ยนแปรอยู่เสมอ ไม่สามารถจะพ้นสภาพความเป็นจริงนี้ไปได้ครับ ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมดีกว่าครับ มีประโยชน์มาก พระธรรมเกื้อกูลให้เกิดสติและปัญญา แล้วจะได้พบกับความสว่างแห่งแสงพระธรรม พระธรรมจะเกื้อกูลสติให้ระลึกรู้สภาวธรรมนั้นๆ รู้ว่าธรรมใดเป็นกุศลธรรมหรือเป็นอกุศล สภาวธรรมทั้ง ๒ ล้วนเป็นของจริงที่มีอยู่จริงๆ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วแต่การเสพคุ้นซึ่งสภาวธรรมนั้นๆ ที่จะเป็นปัจจัยปรุงแต่งจิตให้เป็นไปครับ

กราบขอบพระคุณอ.ผเดิม, อ.คำปั่น และสหายธรรมทุกๆ ท่านครับ

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
รากไม้
วันที่ 5 ก.ค. 2555

การมีแฟนไม่ดี ก็ทุกข์มากในปัจจุบัน, การมีแฟนที่ไม่ดี ก็ทุกข์มากกว่าในอนาคต เพราะทำให้เกิดความผูกพัน ความหวงแหน หึงหวง ความต้องการที่จะอยู่ด้วยกันนานๆ ... สุดท้ายแล้วก็ต้องทุกข์ เศร้าโศกเสียใจ ด้วยความอาลัยรัก ยามที่ต้องจากกันไป ... เพราะทุกคนล้วนแต่มาเจอกัน เพื่อจากกันไปในที่สุด

สรุปว่า ได้แฟนไม่ดีก็ทุกข์ ได้แฟนดีก็ทุกข์ ... การไม่มีแฟนนั้นนั่นแหละจึงจะไม่ทุกข์ เพราะการไม่มีแฟนเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า เพราะกระทำได้ยากกว่าในการอยู่คนเดียวให้ได้ โดยไม่หวั่นไหว ไม่ต้องพึ่งพาใคร ... ผลที่ได้ คือการที่ไม่ต้องทุกข์ ซึ่งก็คือสุขนั่นเอง

ขออนุโมทนากุศลจิตทุกท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ