โลกสูตร ... วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๕

 
มศพ.
วันที่  29 ก.ค. 2555
หมายเลข  21490
อ่าน  1,804

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...


มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

โลกสูตร

(ว่าด้วยเรื่องทรงตรวจดูโลก)

จาก... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ หน้าที่ ๓๕๙

(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์ที่ ๒๖ พ.ค. ๒๕๕๕)

...นำสนทนาโดย...


ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และคณะวิทยากร


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ หน้าที่ ๓๕๙

โลกสูตร

(ว่าด้วยเรื่องทรงตรวจดูโลก)

[๘๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ควงไม้โพธิ์

ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า

ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียวตลอด ๗ วัน ครั้งนั้นแลโดยล่วง

๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธินั้นแล้วทรงตรวจดู

โลก ด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้เดือดร้อนอยู่ด้วยความเดือดร้อน

เป็นอันมาก และผู้ถูกความเร่าร้อนเป็นอันมากซึ่งเกิดจากราคะบ้าง เกิด

จากโทสะบ้าง เกิดจากโมหะบ้าง แผดเผาอยู่

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง

เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

โลกนี้เกิดความเดือดร้อนแล้ว ถูกผัสสะครอบงำ

แล้ว ย่อมกล่าวถึงโรคโดยความเป็นตัวตน ก็โลก

ย่อมสำคัญโดยประการใด ขันธปัญจกอันวัตถุแห่ง

ความสำคัญนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นจากประการที่ตน

สำคัญนั้น โลกข้องแล้วในภพมีความแปรปรวนเป็น

อื่น ถูกภพครอบงำแล้ว ย่อมเพลิดเพลินภพนั่นเอง

(สัตว์) โลกย่อมเพลิดเพลินสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นภัย

โลกกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็บุคคลอยู่ประพฤติ

พรหมจรรย์นี้ เพื่อจะละภพแล

ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าว

ความหลุดพ้นจากภพด้วยภพ (สัสสตทิฏฐิ) เรากล่าวว่า

สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ไม่หลุดพ้นไปจากภพ

ก็หรือสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าว

ความสลัดออกจากภพด้วยความไม่มีภพ (อุจเฉททิฏฐิ)

เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ไม่สลัด

ออกไปจากภพ ก็ทุกข์นี้ย่อมเกิดเพราะอาศัยอุปธิทั้ง

ปวง ความเกิดแห่งทุกข์ย่อมไม่มี เพราะความสิ้น

อุปาทานทั้งปวง ท่านจงดูโลกนี้ สัตว์ทั้งหลาย เป็น

จำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำหรือยินดีแล้ว ขันธ-

ปัญจกที่เกิดแล้วไม่พ้นไปจากภพ ก็ภพเหล่าใดเหล่า

หนึ่งในส่วนทั้งปวง (ในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง)

โดยส่วนทั้งปวง (สวรรค์ อบาย และมนุษย์เป็นต้น)

ภพทั้งหมดนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน

เป็นธรรมดา อันบุคคลผู้เห็นขันธปัญจกกล่าวคือ ภพ

ตามความจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้อยู่ย่อมละภว-

ตัณหาได้ ทั้งไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา ความดับด้วย

อริยมรรคเป็นเครื่องสำรอก ไม่มีส่วนเหลือ เพราะ

ความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง

เป็นนิพพาน ภพไม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับแล้ว

เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุนั้นครอบงำมาร ชนะสงคราม

ล่วงภพได้ทั้งหมดเป็นผู้คงที่ ฉะนี้แล.

จบโลกสูตรที่ ๑๐

อรรถกถาโลกสูตร (นำมาเพียงบางส่วน)

โลกสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-

อาสยานุสยญาณ และอินทริยปโรปริยัตญาณ ชื่อว่า พุทธจักษุ

ในคำว่า พุทฺธจกฺขุนา นี้. สมดังที่ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า พระผู้มีพระภาค-

เจ้า เมื่อทรงตรวจดูสัตวโลก ด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นแล้วแล ซึ่งเหล่า

สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ผู้มีกิเลสดุจฉุลีในดวงตามาก ผู้มีอินทรีย์

แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน. บทว่า โลก ได้แก่ โลก ๓ คือ โอกาสโลก ๑

สังขารโลก ๑ สัตวโลก ๑. ในโลกทั้ง ๓ นั้น โอกาสโลก ตรัสไว้ใน

ประโยคมีอาทิว่า

พระจันทร์พระอาทิตย์ เวียนรอบส่องทิศให้

สว่างไสวมีประมาณเท่าใด โอกาสโลก มีประมาณ

พันหนึ่งเท่านั้น อำนาจของท่าน เป็นไปในโอกาส

โลกนี้.

สังขารโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลก ๑ ได้แก่สัตว์ทั้งปวง

ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร. โลก ๒ ได้แก่นามและรูป. โลก ๓ ได้แก่ เวทนา

๓. โลก ๔ ได้แก่ อาหาร ๔. โลก ๕ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕. โลก ๖

ได้แก่ อายตนะภายใน ๖. โลก ๗ ได้แก่ วิญญาณฐิติ ๗. โลก ๘ ได้แก่

โลกธรรม ๘. โลก ๙ ได้แก่ สัตตาวาส ๙. โลก ๑๐ ได้แก่ อายตนะ

๑๐ โลก ๑๒ ได้แก่ อายตนะ ๑๒. โลก ๑๘ ได้แก่ ธาตุ ๑๘.

บรรดาโลกเหล่านั้น โลกกล่าวคือจักรวาล ชื่อว่า โอกาส-

โลก เพราะอรรถว่า เห็นคือปรากฏโดยอาการวิจิตร. สังขาร ชื่อว่า

โลก เพราะอรรถว่า ย่อยยับ คือผุพัง. ชื่อว่า สัตวโลก เพราะอรรถว่า

เป็นที่ดูบุญและบาปและผลแห่งบุญและบาป. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง

อนุเคราะห์ ในสัตว์เหล่านั้น ด้วยพระมหากรุณา มีพระประสงค์จะให้สัตว์

เหล่านั้นพ้นจากสังสารทุกข์ จึงตรวจดูสัตว์โลก.

ก็พระองค์ทรงตรวจดูสัปดาห์ไหน? สัปดาห์ที่ ๑. จริงอยู่ ในที่สุดแห่ง

ปัจฉิมยาม ในวันสุดสัปดาห์ที่ทรงเข้าสมาธิ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปล่งอุทาน

อันแสดงอานุภาพแห่งอริยมรรคนี้ว่า เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏ ฯลฯ เหมือน

พระอาทิตย์ส่องไสวในกลางหาว ดังนี้ จึงตรวจดูสัตวโลกว่า อันดับแรก เราใช้

เรือคือธรรมนี้ข้ามห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร ที่แสนจะข้ามได้โดยยากอย่างนี้ จึงยืน

อยู่ที่ฝั่งคือพระนิพพาน เอาเถิด บัดนี้ ถึงสัตวโลกเราก็จักให้ข้ามด้วย สัตวโลก

เป็นอย่างไรหนอ ดังนี้. ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่าครั้นล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มี

พระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธินั้น ทรงตรวจดูสัตวโลก ด้วยพุทธจักษุ ดังนี้.

...ฯลฯ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 29 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

โลกสูตร

(ว่าด้วยเรื่องทรงตรวจดูโลก)

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อแรกทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงเสวยวิมุตติสุข ที่โพธิบัลลังก์

ตลอด ๗ วัน พอผ่าน ๗ วันนั้นไป พระองค์ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ

พระองค์ทรงเห็นสัตว์โลกเกิดความเดือดร้อนมากมาย ถูกแผดเผาด้วยความเร่าร้อน

คือ ราคะ โทสะ โมหะ พระองค์จึงได้ทรงเปล่งพระอุทานในเวลานั้น โดยสรุป

ได้ ว่า

สัตว์โลกเกิดความเดือดร้อน เพราะชรา โรค มรณะ และเพราะความวอดวายต่างๆ

มีทุกข์ทั้งทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ มีการยึดถือขันธ์ ว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล

มีความสำคัญตน มีความติดข้องยินดีพอใจเพลิดเพลินไปกับด้วยภวตัณหา และ

วิภวตัณหา ที่จะพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ได้ และพ้นไปจากการเกิดในภพต่างๆ ได้

ก็ด้วยการอบรมเจริญอริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)

เป็นต้น ซึ่งจะเป็นเหตุนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

อริยมรรคมีองค์ ๘

อริยมรรค

อุปธิ

พระอรหันต์ชื่อว่าเป็นผู้คงที่ไม่หวั่นไหว

มาร ๕ [กิเลสมาร...ตอนที่ ๒]

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 30 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก ซึ่งหมู่สัตว์ถูกอวิชชา ครอบงำ และที่สำคัญที่สุด

สัตว์โลกเดือดร้อน เพราะ ยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีสิ่งต่างๆ เพราะ ไม่มีปัญญาที่รู้

ตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่พียงธรรมไม่ใช่เรา เมื่อพระพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้น สัตว์โลกก็

แสวงหาทางหลุดพ้น ด้วยหนทางที่ผิด ดังนั้น เมื่อได้อ่านพระสูตรนี้ ย่อมแสดงให้เห็น

ว่า สัตว์โลก ไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง เพราะ สำคัญว่าโลกนี้ คือ สิ่งต่างๆ ที่ปรากฎ

เป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ หนทาง คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจว่าโลกตามความเป็นจริง

ที่เป็นสัจจะ คือ อะไร นั่นคือ เป็นแต่เพียงสภพาธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่กำลังปรากฎ

ในชีวิตประจำวัน การเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ย่อมทำให้ไถ่ถอนความไม่รู้ และ ความ

เห็นผิด และ ไม่ต้องเดือดร้อนกับโลกที่ยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล เพราะ มีปัญญาเข้าใจ

ตามความเป็นจริง โลก จึง ไม่พ้นในขณะนี้ ขณะที่สภาพธรรมกำลังเกิดเป็นไป ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ประสาน
วันที่ 31 ก.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Lamphun
วันที่ 31 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ ทางชมรมบ้านธัมมะ มศพ.จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้นำพระสูตรนี้ไปสนทนาในวันอาทิตย์นี้ โดยอาจารย์ธิดารัตน์ จะเดินทางไปร่วมสนทนาด้วยครับ

ท่านที่อยู่เชียงใหม่ ขอเชิญได้ที่สุริวงค์บุ๊คเซ็นเตอร์ ตั้งแต่ 10.30น. ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 1 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Nataya
วันที่ 3 พ.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ