พระอรหันต์
ผมอยากทราบว่าพระอรหันต์ จะมีถึงแค่พันปีที่ ๒ จริงรึป่าวครับ แล้วอยากหาอ่าน ได้จากไหนครับ ที่เป็นหลักฐาน เพราะผมได้ยินมาว่า พระอรหันต์มีถึงแค่พันปีที่ ๒ แต่มีเพื่อนบอกว่า พระอรหันต์ในปัจจุบันยังมี
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม คือ มีปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องเกิดขึ้นและดับไป จะต้องมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้แต่พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ย่อมจะถึงความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถึงการอันตรธานไปในที่สุดเมื่อครบห้าพันปี
ดังนั้น ความเสื่อมไปนั้น ก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ใช่จากเจริญแล้วมาเสื่อมอย่างรวดเร็วทันที เพราะฉะนั้น ในยุคพันปีแรก ก็มีพระอรหันต์ที่ประกอบด้วยคุณธรรมสูงเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ มีอภิญญาและประกอบด้วยความแตกฉานในพระธรรม และการบรรลุ ก็ค่อยๆ เสื่อมไปๆ จนพันปีที่สอง ก็ยังมีพระอรหันต์ แต่เพียงดับกิเลสเป็นสุขวิปัสสกะ แต่ไม่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมที่เป็นการแสดงฤทธิ์ได้ ได้อภิญญาปฏิสัมภิทา ครับ
นี่แสดงให้เห็นถึงความค่อยๆ เสื่อมไปตามลำดับ แต่เมื่อถึงพันปีที่สาม ก็หมดความเป็น พระอรหันต์ ในโลกมนุษย์ มีได้เพียงพระอนาคามี พันปีที่สี่ ก็สูงสุดเพียง พระสกทาคามี และพันปีที่ห้า พันปีสุดท้าย ก็ได้เพียงพระโสดาบัน นี่แสดงให้เห็นความจริงที่เป็นสัจจะ ว่าพระพุทธศาสนา ค่อยๆ เสื่อมไปอย่างช้าๆ ตามลำดับ ไม่ใช่ว่าพอพันปีที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ยังมีพระอรหันต์ แล้วก็หมดทันที่ ไม่มีพระอริยบุคคล ในพันปีที่ห้าเลย แต่การเสื่อมคุณธรรม ก็ต้องเสื่อมไป ตามลำดับ ตามระดับของพระอริยบุคคล ครับ
เช่นเดียวกับการเสื่อมของความเข้าใจพระธรรม พันปีแรก ก็ต้องมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมอย่างละเอียดลึกซึ้ง และพันปีที่สอง ก็ยังคงเข้าใจละเอียดลึกซึ้งอยู่ แต่ไม่มากเท่าพันปีแรก พันปีที่สาม ก็เข้าใจน้อยลงตามลำดับ จนถึงพันปีที่สี่ พันปีที่ห้า ก็เสื่อมถอยในความเข้าใจพระธรรม จนในที่สุด แม้ได้อ่าน ได้ยิน มีพระไตรปิฎกเต็มตู้ แต่ก็อ่านไม่เข้าใจเลย หรือเข้าใจผิด และไม่สนใจก็ได้ อันแสดงถึงความอันตรธานของความเข้าใจ ไปตามลำดับที่ค่อยๆ เสื่อมไป จึงไม่ใช่ว่า พันปีที่สาม ยังมีความเข้าใจลึกซึ้ง เท่ากับพันปีที่หนึ่ง แล้วก็พอพันปีที่สี่ และ ห้า ก็หายไปทันที คือ หายจากความเข้าใจลึกซึ้งทันที โดยที่ไม่ได้ค่อยๆ เสื่อม ก็ไม่ถูกต้อง ครับ
เช่นเดียวกับการบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลก็ค่อยๆ เสื่อมไป จนพันปีที่สาม สูงสุดก็เพียงพระอนาคามี ครับ นี่คือเหตุผลของพระธรรมและเป็นสัจจะ ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้าที่ - 554
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถาโคตมีสูตร
ก็คำว่า วสฺสสหสฺส นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน ปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี
โดยอาการดังกล่าวมานี้ แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.
[เล่มที่ 9] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499
แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น. แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน, รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรม จักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้.
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ยุคนี้ ไม่มีพระอรหันต์แล้ว จริงเหรอ?
ความสิ้นไปแห่งพระปริยัติธรรม [จุลลวรรค]
ที่สำคัญ คงไม่ได้อยู่ที่ว่า จะรู้ว่ายุคนี้ มีพระอรหันต์หรือไม่ เพราะประโยชน์ที่สำคัญ คือความเข้าใจพระธรรมของตนเอง แม้จะมีอยู่ หรือ ไม่มี ก็ไม่สามารถทำให้เราเองมีปัญญาเจริญขึ้นได้ หรือ สามารถละกิเลสได้ เพราะ ปัญญาของใครก็ของคนนั้น
แต่สำคัญที่ว่า ควรอบรมปัญญา ความเห็นถูก ของตนเองเป็นสำคัญ โดยเฉพาะ การเข้าใจพระธรรมในหนทางการดับกิเลส เพราะหากมีความเข้าใจถูก ว่าหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง คือ อย่างไร ก็จะทำให้ ไม่เชื่อ เพียงเพราะ คำร่ำลือ หรือ เพราะคนอื่นบอก แต่ ปัญญาของตนเอง ที่เข้าใจหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง ย่อมจะรู้ว่า ผู้นี้ มีความเห็นถูกหรือไม่ และ ประโยชน์สูงสุดที่ได้ คือ ไม่ใช่การรู้ว่า ใครเป็นอย่างไร แต่การรู้จักตนเองเท่านั้น ที่จะเป็นหนทาง การละคลายกิเลส และเจริญขึ้นของปัญญา ซึ่งการรู้จักตนเอง ก็เป็นปัญญาที่เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่ รู้ตามความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตประจำวันว่ามีแต่เพียง ธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่งอยากทราบว่า มีพระอรหันต์หรือไม่ ก็ต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมไป จนกว่าจะเกิดปัญญาเป็นของตนเอง
ผู้มีปัญญาควรรู้ในสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
ไม่ควรรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจริญ เพราะมีผู้เห็นประโยชน์ ได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูก พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ พระธรรมย่อมไม่มีวันอันตรธานไปจากใจของผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแน่นอน แต่ที่จะเสื่อมหรือจะอันตรธานไปในที่สุดนั้น ก็เพราะไม่มีผู้ศึกษา ไม่มีผู้เข้าใจ ไม่มีผู้น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม ถ้าจะกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ย่อมเสื่อมจากพระพุทธศาสนา
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่ในใจของสัตว์โลกเหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม
คำพูดของบุคคลอื่น ก็เป็นเรื่องของบุคคลอื่น ถ้ามีความมั่นคงในความถูกต้อง ในเหตุในผลตามความเป็นจริง ก็จะไม่คล้อยไปตามความเป็นผู้ที่ไม่ตรงที่บุคคลอื่นกล่าว เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ทั้งหมดนี้ก็มาจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
ถึงแม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่ก็ยังมีพระธรรมวินัย เป็นศาสดาแทนพระองค์ และในยุคนี้สมัยนี้ เป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษา เพราะยังไม่รู้ก็จะต้องศึกษาเพื่อจะได้รู้ ได้สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ต่อไป
มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา ก็ฟัง ก็ศึกษาต่อไป สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น ก่อนที่พระธรรมจะอันตรธาน นี้แหละ คือ สิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตนเองอย่างแท้จริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ แต่ยังมีพระอริยบุคคลขั้นอื่น เช่น พระโสดาบัน เป็นต้น การจะบรรลุเป็นพระโสดาบันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องสะสมความดีมาก สะสมบารมีมาก และสะสมปัญญามาก กว่าจะบรรลุก็ต้องใช้เวลาเป็นกัปๆ เพียงขั้นการฟังให้เข้าใจยังยากเลย ก็ต้องศึกษาต้องฟังซ้ำๆ จนกว่าปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"อยากทราบว่ามีพระอรหันต์หรือไม่ก็ต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม
ไปจนกว่าจะเกิดปัญญาเป็นของตนเอง"
"ในปัจจุบันพระอรหันต์มีอยู่ที่รูปพรหมภูมิ"
"ผู้มีปัญญาควรรู้ในสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ"
"ไม่ควรรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ"
"มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา ก็ฟัง ก็ศึกษาต่อไป สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก
ยิ่งขึ้น ก่อนที่พระธรรมจะอันตรธาน"
นี่จึงจะเป็นสาระที่ควรรู้ยิ่งครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ
ถึงมีก็ไม่รู้
โปรดอ่าน
ท่านผู้ใด มีปกติไม่เห็นพระอริยเหล่านั้น และไม่ยินดีในการเห็น
ผู้นั้น พึงทราบว่า มีปกติไม่เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ดังนี้.
และการเห็นนั้นแยกออกเป็น ๒ คือ ไม่เห็นด้วยตา ๑ ไม่เห็นด้วยญาณ ๑.
ใน ๒ อย่างนั้น การไม่เห็นด้วยญาณ ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
จริงอยู่ พระอริยะทั้งหลายถึงบุคคลจะเห็นด้วยมังสจักษุ หรือ ทิพยจักษุ ก็ยังไม่ชื่อว่าได้เห็น เพราะจักษุเหล่านั้นรับเอาเพียงอุปาทายรูป ไม่ใช่ยึดเอาความเป็นพระอริยะเป็นอารมณ์
อนึ่ง แม้สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้น ย่อมเห็นพระอริยะทั้งหลายด้วยจักษุ
แต่ว่า สุนัขบ้านเป็นต้นเหล่านั้นจะชื่อว่าได้เห็นพระอริยะทั้งหลายหามิได้.
ในข้อนี้ มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์
อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ
ดังได้สดับมา อุปัฏฐากของพระเถระผู้ขีณาสพ ผู้อยู่ในจิตตลดาบรรพตบวชเมื่อแก่ อยู่มาวันหนึ่ง เที่ยวไปบิณฑบาตกับพระเถระ รับเอาบาตรจีวรของพระเถระเดินตามหลังมา
ถามพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บุคคลเช่นไรชื่อว่า พระอริยะ
พระเถระตอบว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนแก่
รับเอาบาตรและจีวรของพระเถระ ทำวัตรปฏิบัติแม้เที่ยวไปกับพระอริยะ
ก็ย่อมไม่รู้จักพระอริยะ
โยม พระอริยะทั้งหลาย รู้ได้ยากอย่างนี้ ดังนี้.
เมื่อพระเถระแม้พูดอย่างนี้ อุปัฏฐากนั้น ก็ยังหารู้ไม่.
เพราะฉะนั้น การเห็นด้วยจักษุ ไม่ชื่อว่าเห็น
การเห็นด้วยญาณเท่านั้น ชื่อว่าเห็น.
สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนวักกลิประโยชน์อะไรด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้ อันเธอเห็นแล้ว,
ดูก่อนวักกลิผู้ใดแล เห็นพระธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เห็นเราตถาคต ดังนี้.
เพราะฉะนั้น บุคคลแม้เห็นอยู่ (ซึ่งพระอริยะ) ด้วยจักษุ
แต่ไม่เห็นอนิจจลักษณะ เป็นต้น ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วด้วยญาณ
และไม่บรรลุธรรมที่พระอริยเจ้าบรรลุแล้ว
พึงทราบ ไม่เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย
เพราะธรรมที่ทำให้พระอริยะ และความเป็นพระอริยะ
อันบุคคลนั้นยังไม่เห็น ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
ขออนุโมทนา
@ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ และเสด็จไปดีแล้ว พระองค์นั้น
@ ขอกราบแทบเท้าอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยระลึกบูชาคุณเป็นอย่างยิ่ง
@ ขออนุโมทนา อ.ผเดิม และคณะวิทยากรทุกๆ ท่าน
* * ในยุคนี้ สมัยนี้ พระธรรมยังดำรงอยู่ ควรฟัง ระลึกศึกษาสะสมปัญญาที่เข้าใจพระธรรม ว่าเป็นธรรม มิใช่เรา * * สาธุ สาธุ สาธุ ... ถ้าสะสมปัญญาไม่พอแก่การตรัสรู้ธรรม แม้เกิดในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์อยู่ ก็ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ไม่เข้าใจค่ะ