แค่เราด่า พระอรหันต์ในใจ ก็ตกนรก แล้วเหรอครับ

 
พอแล้ว
วันที่  14 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22173
อ่าน  7,469

ในอดีตชาติของ พระโสดาบัน ที่ถูกแม่วัว อดีตชาติยักษิณี ขวิดตาย สมัยนั้นเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผ่านมา แล้วไปตำหนิติเตียนว่าท่านแต่งตัวสกปรก โดยเป็นการพูดในใจ ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา พอตายไปก็ถูกไฟนรกเผาอยู่หลายกัป พอเกิดมาก็เป็นคนยากแค้นสาหัส ผมจำชื่อไม่ได้ แต่ประเด็นคือ ถ้าเราดูพระอริยะไม่ออก แล้วท่านมาในรูปแบบไม่ใช่พระสงฆ์ แล้วท่านตัวสกปรกมอมแมม หรือบางทีกิริยาอาจไม่ถูกใจเราไปเผลอตำหนิในใจเข้า ไม่ลงนรกไปเหมือนอดีตชาติพระโสดาบัน องค์นั้นเหรอครับ - - *


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากข้อความที่ผู้ถามยกมานั้น เป็นเรื่องราวของท่านสุปปพุทธกุฏฐิ ซึ่งเป็นคนโรคเรื้อนยากจน เพราะผลของกรรมที่ไปด่าว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งในความเป็นจริง เมื่อในอดีตชาติ ท่านสุปปพุทธกุฏฐิเกิดเป็นพระราชาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเกิดจิตตำหนิในใจ แต่ไม่ใช่เพียงคิดในใจเท่านั้น ยังล่วงออกมาทางกายทวาร คือทางกายด้วย โดยการถ่มน้ำลาย นี่แสดงถึงกิเลสที่มีกำลังที่ทำการถ่มน้ำลาย ไม่ใช่เพียงคิดในใจ กรรมจึงสำเร็จทางกายทวาร ทางกาย โดยอาศัยทางใจที่คิดไม่ดีครับ

เพราะฉะนั้น จึงทำให้กรรมให้ผลไม่ดี ต้องตกนรก และเศษของกรรมก็ทำให้เป็นคนโรคเรื้อน ยากจน การคิดเพียงในใจที่เพียงตำหนิอย่างเดียว ยังไม่สำเร็จเป็นกรรมบถที่จะต้องตกนรกไปอบาย แต่เมื่อใดคิดในใจแล้ว ล่วงออกมาทางกาย วาจา กรรมย่อมสำเร็จกรรมบถทำให้เป็นบาป ตกนรก ไปอบายภูมิและทำให้ได้รับผลของกรรมที่ไม่ดีเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ได้ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงถึงบาปกรรมของท่านสุปปพุทธกุฏฐิว่าไม่ใช่เพียงคิดในใจ แต่แสดงออกมาทางกายด้วย ครับ

ขออนุโมทนา

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 513

พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า นามว่า ตครสิขี ผู้อยู่ในภายในพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ผู้บรรลุปัจเจกโพธิญาณอย่างนั้น เข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน ที่เงื้อมนันทมูลกะ ณ คันธมาทนบรรพต ล่วงไป ๗ วัน จึงออกจากนิโรธ เหาะมาลงที่อิสิคิลิบรรพต ในเวลาเช้าครองผ้า แล้วถือบาตรและจีวรแล้ว เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์. ก็ในสมัยนั้นในกรุงราชคฤห์ มีบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง พร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่ ออกจากพระนคร เพื่อกรีฑาในอุทยาน พบพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าตครสิขี คิดว่า ใครนี่ หัวโล้น ครองผ้ากาสาวะ จักเป็นคนโรคเรื้อนเอาผ้าของคนโรคเรื้อนคลุมร่างกายไปอย่างนั้นแล ดังนี้แล้วจึงถ่มน้ำลาย หลีกไปทางเบื้องซ้าย ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า

สุปฺปพุทฺโธ กุฏฺีอิมสฺมึเยว ราชคเห ฯ เป ฯ ปกฺกามิ ดังนี้ เป็นต้น


ขอเชิญอ่านพระสูตรและอรรถกถา ...

สุปปพุทธกุฏฐิสูตร ว่าด้วยการตรัสอริยสัจแก่สุปปพุทธกุฏฐิ

เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ

สุปปพุทธกุฏฐิสูตร

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พอแล้ว
วันที่ 16 ธ.ค. 2555

ผมฟังพระเทศน์มาในวิทยุ จับใจความได้เท่านี้ ขอบพระคุณที่ช่วยอุตส่าห์ไป ค้นหาให้อ่านเพื่อความรู้ และอธิบายกรรม โดยสมบูรณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
daris
วันที่ 16 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 16 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ก็ย่อมมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง แต่ละคนจึงมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสมจริงๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทั้งนั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

เพียงแค่อกุศลจิตเกิดขึ้น โดยไม่ได้ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ก็ยังไม่สำเร็จเป็นกรรมบถ ย่อมไม่เป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้าได้ แต่จะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลย ถ้าสะสมมากขึ้นๆ ก็อาจจะเป็นเหตุให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมได้

ประเด็นที่ควรจะได้พิจารณาเพิ่มเติม คือเรื่องที่เกี่ยวกับคำพูด หรือ ความประพฤติเป็นไปทางวาจานั้น บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็จะเห็นได้ว่า มีคำพูดหลายอย่างที่ควรเว้น ไม่ควรพูด แสดงให้เห็นว่าเพราะจิตใจไม่ดี ความประพฤติเป็นไปทางวาจา จึงไม่ดีด้วย เป็นเรื่องของกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดคำพูดประการต่างๆ ขึ้นเป็นชีวิตจริง เป็นเรื่องของวจีทุจริตทั้งสิ้น ซึ่งควรละ ควรเว้น ไม่ควรสะสมให้มากขึ้นแต่สิ่งที่ควรสะสมให้มีขึ้น คือกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวันนั่นเอง เมื่อจิตใจไม่สะอาด เป็นอกุศล คำพูดก็ไม่สะอาด เป็นไปตามจิตที่เป็นอกุศล ซึ่งจะแตกต่างไปจากคำพูดที่เกิดจากกุศลจิตอย่างสิ้นเชิง เป็นคำพูดที่ไพเราะ น่าฟัง เป็นประโยชน์ ไม่มีเสียดสี ว่าร้าย ส่อเสียด เป็นต้น พระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสของตนเองไปทีละเล็กทีละน้อย เตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะกิเลสที่สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยนี้เอง ในที่สุดก็จะมีกำลังจนถึงขั้นที่จะกระทำอกุศลกรรมได้ ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 16 ธ.ค. 2555

คิดตำหนิในใจ เป็นอกุศลจิต ยังไม่ถึงกรรมบถ ยังไม่เป็นเหตุให้ไปอบาย แต่มีโทษเพราะสะสมเป็นอกุศลจิตมากๆ ก็ทำให้มีกำลัง ถึงการด่าว่า ล่วงศีลได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผิน
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ณัฐวุฒิ
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 22 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ส.ค. 2564

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม..

เรื่องสุปปพุทธกุฏฐิ [๕๑]

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ