ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพครับ
เท่าที่กระผมได้ค้นดูในพระไตรปิฎกฉบับที่เป็นภาษาบาลี ก็ไม่พบข้อความโดยตรงทั้งหมดตามที่ปรากฏอยู่ในบทดังกล่าวที่พระคุณเจ้าอ้างถึง เข้าใจว่า เป็นการแต่งของอาจารย์รุ่นหลังที่มีความสามารถในด้านภาษาบาลี เพื่อบูชาพระรัตนตรัย
ประโยชน์ที่ควรจะได้พิจารณา คือ
พระรัตนตรัย หมายถึง รัตนะที่ประเสริฐ ๓ ประการ คือ พระพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธรัตนะ พระองค์เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง, พระองค์ทรงปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการแสดงพระธรรม (ธรรมรัตนะ) ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศพระธรรมคำสอนของพระองค์หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ มีผู้ที่ได้รู้แจ้งธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น เป็นพระสังฆรัตนะเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และแม้จะไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ก็ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้าได้
ดังนั้น การมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง คือ การพึ่งพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ถ้าหากไม่มีพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ก็ไม่มีใครสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันได้ เพราะฉะนั้น การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา และปัญญานี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรมความเข้าใจพระธรรม ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ โดยไม่ไปฟังคนอื่นที่มีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงแสดงให้เห็นว่าการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องเริ่มจากการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเองนั่นเอง
กราบอาราธนานิมนต์คลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพครับ
เป็นบทสวดที่แต่งขึ้นมาภายหลัง ซึ่งในการแต่งบทสวดนั้น คัญที่จะต้องสอดคล้องกับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่การแต่งขึ้นเพื่อที่จะได้อานิสงส์ของการสวดนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นเรื่องละ ไม่ใช่เรื่องได้ แต่การสวดเพื่อได้หวังอานิสงส์ ดังบทที่แต่งขึ้นว่า ขอให้การกล่าวบทสวดนี้ ให้ข้าพเจ้าพ้นจากอุปทวะต่างๆ คือ ภัยต่างๆ
การจะพ้นจากภัย คือ รู้จักภัย ภัย คือ กิเลสประการต่างๆ ตามความเป็นจริง ว่าเป็นแต่เพียงธรรม เพราะฉะนั้น เพียงการสวด จะพ้นภัยไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาเกิดเข้าใจความจริง
การพ้นภัยที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่การสวดบทสวด ให้บทสวดทำให้พ้นภัย แต่ปัญญาที่เกิดขึ้น จากการศึกษาพระธรรมจะทำให้พ้นภัยที่แท้จริง คือ กิเลสประการต่างๆ คือ ความไม่รู้ เป็นต้น เมื่อปัญญาเกิด พ้นภัย คือ ความไม่รู้ในขณะนั้น จนปัญญาแก่กล้า ย่อมละภัย คือ กิเลสได้หมดสิ้น หากไม่มีกิเลส ก็คงไม่ต้องได้รับภัยประการต่างๆ เพราะจะไม่มีการกระทำอกุศลกรรม ที่จะทำให้ได้รับภัย ครับ
การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ย่อมสามารถเกิดกุศลจิต ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย แม้ไม่ได้กล่าว ไม่ได้สวดบทใด แต่ใจในขณะนั้นเป็นกุศลแล้ว ที่ระลึกถึงพระคุณ อันเกิดจากความเข้าใจพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา