สังขารธรรม กับ สังขตธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สังขารธรรมคือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง สภาพธรรมที่ต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นจึงเกิดขึ้น ได้แก่ จิต เจตสิก และรูปทั้งหมด เป็นสังขารธรรม เพราะต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นๆ เป็นปัจจัย
สังขตธรรมคือ ธรรมอันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย เป็นเหตุทำให้เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย สภาพธรรมนั้นๆ ก็ดับ สังขตธรรมจึงหมายถึง สภาพธรรมที่มีการเกิดดับ ได้แก่ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ ซึ่งสังขารธรรมและสังขตธรรมหมายถึง สภาพธรรมอย่างเดียวกัน แต่ทรงใช้ศัพท์คนละคำเพื่ออธิบายความหมายให้ชัดเจนขึ้น คือ สังขารธรรมเป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง แต่สังขตธรรม นอกจากเป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ยังเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับด้วย ครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ความละเอียดของสังขารธรรมและสังขตธรรม
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
สังขารธรรม - สังขตธรรม สองคำสองความหมาย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันเลย เมื่อกล่าว สังขารธรรม หรือ สังขตธรรม เพราะกล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้ ไม่มีสภาพธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดที่เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อประมวลแล้วก็คือ จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด และรูปทั้งหมด เป็นสังขารธรรม เป็นสังขตธรรม เช่น เห็นในขณะนี้ เกิดเพราะปัจจัยหลายอย่างกล่าวคือ มีอารมณ์ของจิตเห็น มีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตเห็น มีที่เกิดของจิตเห็น มีกรรมเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมนั้นๆ เลย ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ