ยุคนี้พันปีที่สามมีพระอรหันต์หรือไม่คะ
เหมือนจะได้ยินท่านอ.สุจินต์ พูดว่ายุคนี้พันปีที่สามไม่ใช่ยุคของพระอรหันต์มีเพียงพระอนาคามี ไม่ทราบว่าดวงทิพย์จะฟังผิดหรือเปล่าแต่จำได้ว่าได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้งค่ะ ซึ่งก็ตรงกับที่สามีเคยด่าใส่หน้าสมัยที่ดวงทิพย์บ้าพระอาจารย์ต่าง สามีบอกไม่มีแล้วพระอรหันต์ ก็มานึกตอนที่ได้ยินท่านอ.พูดเลยว่าแฟนเรานี่ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่พบข้อความในพระไตรปิฏกค่ะ ถามเพื่อนๆ ก็บอกว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่าตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสติปัฏฐาน เจริญมรรคมีองค์แปด พระธรรมยังมีครบถ้วน โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ เพื่อนก็หาคำตอบของลพ ฤาษีลิงดำ ท่านตอบว่ายุคนี้ยังมีพระอรหันต์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม คือ มีปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องเกิดขึ้นและดับไป จะต้องมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้แต่พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ย่อมจะถึงความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถึงการอันตรธานไปในที่สุด เมื่อครบห้าพันปี ดังนั้น ความเสื่อมไปนั้นก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ใช่จากเจริญแล้วมาเสื่อมอย่างรวดเร็วทันที เพราะฉะนั้นในยุคพันปีแรกก็มีพระอรหหันต์ที่ประกอบด้วยคุณธรรมสูง เป็นพระอรหันต์ที่มีมีฤทธิ์ มีอภิญญา และประกอบด้วยความแตกฉานในพระธรรมและการบรรลุก็ค่อยๆ เสื่อมๆ ไป จนพันปีที่สอง ก็ยังมีพระอรหันต์ แต่เพียงดับกิเลสเป็นสุขวิปัสสกะ แต่ไม่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ได้ ได้อภิญญาปฏิสัมภิทา ครับ
นี่แสดงให้เห็นถึงความค่อยๆ เสื่อมไปตามลำดับ แต่เมื่อถึงพันปีที่ 3 ก็หมดความเป็นพระอรหันต์ในโลกมนุษย์ มีได้เพียงพระอนาคามี พันปีที่ 4 ก็สูงสุดเพียง พระสกทาคามี และพันปีที่ห้า พันปีสุดท้าย ก็ได้เพียงพระโสดาบัน นี่แสดงความจริงที่เป็นสัจจะ ว่าพระพุทธศาสนา ค่อยๆ เสื่อมไปอย่างช้าๆ ตามลำดับ ไม่ใช่ว่าพอพันปีที่สาม ที่สี่ ที่ห้ายังมีพระอรหันต์ แล้วก็หมดทันที่ ไม่มีพระอริยบุคคลในหมดพันปีที่ห้าเลย แต่การเสื่อมคุณธรรมก็ต้องเสื่อมไปตามลำดับ ตามระดับของพระอริยบุคคล ครับ
เช่นเดียวกับการเสื่อมของความเข้าใจพระธรรม พันปีแรกมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมอย่างละเอียดลึกซึ้ง และพันปีที่สองก็ค่อยๆ เข้าใจละเอียดลึกซึ้งอยู่แต่ไม่มากเท่าพันปีแรก พันปีที่ 3 ก็เข้าใจน้อยลงตามลำดับ จนถึงพันปีที่ 4 พันปีที่ 5 ก็เสื่อมถอยในความเข้าใจพระธรรม จนในที่สุด แม้ได้อ่าน ได้ยิน มีพระไตรปิฎกเต็มตู้ แต่อ่านก็ไม่เข้าใจเลย หรือเข้าใจผิด และ ไม่สนใจก็ได้ อันแสดงถึงความอันตรธานของความเข้าใจไปตามลำดับที่ค่อยๆ เสื่อมไป จึงไม่ใช่ว่า พันปีที่ 3 ยังมีความเข้าใจลึกซึ้งเท่ากับพันปีที่ 1 แล้ว ก็พอพันปีที่ 4 และ 5 ก็หายไปทันที คือ หายจากความเข้าใจลึกซึ้งทันทีโดยที่ไม่ค่อยเสื่อมก็ไม่ถูกต้องครับ เช่นเดียวกับ การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลก็ค่อยๆ เสื่อมไป จนพันปีที่ 3 สูงสุดก็เพียงพระอนาคามี ครับ นี่คือเหตุผลของพระธรรมและเป็นสัจจะ ครับ ดั่งข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงถึง เรื่อง ยุคสมัยที่จะมีพระอริยบุคคลแบบใด ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้าที่ 554
ข้อความบางตอนจาก...
อรรถกถาโคตมีสูตร
ก็คำว่า วสฺสสหสฺส นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบันปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้วเพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.
[เล่มที่ 9] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499
แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ยุคนี้ ไม่มีพระอรหันต์แล้ว จริงเหรอ?
ความสิ้นไปแห่งพระปริยัติธรรม [จุลลวรรค]
ที่สำคัญคงไม่ได้อยู่ที่ว่า จะรู้ว่ายุคนี้ มีพระอรหันต์ หรือไม่ เพราะประโยชน์ที่สำคัญคือ ความเข้าใจพระธรรมของตนเอง แม้จะมีอยู่ หรือ ไม่มี ก็ไม่สามารถทำให้เราเองมีปัญญาเจริญขึ้นได้ หรือสามารถละกิเลสได้ เพราะ ปัญญาของใครก็ของคนนั้น
แต่สำคัญที่ว่าควรอบรมปัญญา ความเห็นถูกของตนเองเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเข้าใจพระธรรมในหนทางการดับกิเลส เพราะ หากมีความเข้าใจถูกว่าหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง คือ อย่างไร ก็จะทำให้ ไม่เชื่อเพียงเพราะ คำร่ำลือ หรือ เพราะ คนอื่นบอก แต่ปัญญาของตนเองที่เข้าใจหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง ย่อมจะรู้ว่า ผู้นี้ มีความเห็นถูกหรือไม่ และประโยชน์สูงสุดที่ได้ คือ ไม่ใช่การรู้ว่าใครเป็นอย่างไร แต่การรู้จักตนเองเท่านั้น ที่จะเป็นหนทางการละคลายกิเลส และเจริญขึ้นปัญญา ซึ่งการรู้จักตนเอง ก็เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ รู้ตามความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตประจำวันว่า มีแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"...ถ้าไม่ตรงตามพระธรรมวินัยแม้การบรรลุเป็นพระโสดาบันยังไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นพระอรหันต์... "
อ้างอิงจาก ...
ยุคนี้ ไม่มีพระอรหันต์แล้ว จริงเหรอ?
พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นผู้ทำลายข้าศึก คือกิเลสได้หมดสิ้น เป็นผู้ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป การบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เริ่มตั้งแต่พระโสดาบันบุคคล ถึง ความเป็นพระอรหันต์นั้น ต้องเป็นผู้ที่สั่งสมอบรมเจริญปัญญา สั่งสมการสดับตรับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน และต้องเป็นผู้ดำเนินตามทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ คือ การอบรมเจริญปัญญา
มรดกที่ล้ำค่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานแก่พุทธบริษัท คือ พระธรรมคำสอน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง
ตามความเป็นจริงแล้ว ยุคสมัยนี้ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยังดำรงอยู่ พระธรรม ยังสมบูรณ์ถูกต้องครบถ้วน แต่ปัญญาของผู้ศึกษาเข้าไม่ถึงอรรถ เข้าไม่ถึงธรรม เพราะผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาเพื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านเกิดในสมัยครั้งพุทธกาลเป็นส่วนมาก ยุคปัจจุบันนี้เป็นของคนมีบุญน้อยการศึกษาอบรมเจริญปัญญาสามารถบรรลุคุณธรรมสูงสุด เพียงพระอนาคามีบุคคลเท่านั้น ประโยชน์จริงๆ ควรที่จะได้พิจารณาว่า หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ อะไร นี้คือ ความสำคัญ ถ้าตั้งต้นไม่ถูก ไม่ได้อบรมเจริญเหตุ คือ การอบรมเจริญปัญญาแล้ว ไม่มีทางถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
และที่ไม่ควรลืมอย่างยิ่ง คือ กิจของตนเอง นั่นก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เข้าใจ และไม่ประมาทในการสะสมกุศล ต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ หมดไปตั้งแต่พันปีที่สองแล้ว ค่ะ
ผู้ที่เห็นสัทธรรมตามพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์ เจริญโพธิปักขิยธรรม รู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ ๔ (มี ๓ รอบ ๑๒ อาการ) และ ปฏิจจสมุปบาท สำรอกราคะ โทสะ โมหะ ทิฎฐิ มานานุสัย ออกเสียได้ จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆ ในโลกนี้ย่อมเข้าถึงอรหัตตผลได้ในปัจจุบันได้
ขออนุโมทนา