การจับด้ามมีด หมายถึง การฟังพระธรรมอย่าง เนืองๆ
ท่านอาจารย์บรรยายบ่อยๆ ถึง "การจับด้ามมีด" หมายถึง การฟังพระธรรมอย่าง เนืองๆ หรือการระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงครับ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ กรุณาให้ปัญญาด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การละกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับขั้น เพียงขั้นการฟัง ยังไม่สามารถละกิเลสได้ แต่ปัญญาขั้นการฟัง เป็นพื้นฐานให้นำไปสู่ปัญญาขั้นสูงๆ ต่อไป จนถึงการดับกิเลส ได้ครับ ซึ่งอุปมา ใน นาวาสูตร ก็แสดงไว้ 2 อุปมา ถึง เรื่องการละคลายกิเลส เช่น อุปมาว่าด้วยการจับด้ามมีด ช่างไม้ที่จับด้ามมีด ในแต่ละวัน เมื่อจับไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ สึก แต่ขณะที่จับวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าสึกไปเท่าไหร่ จนในที่สุด ก็ปรากฎรอยนิ้วมือชัดเจน เมื่อจับบ่อยๆ ฉันใด การละคลายกิเลส อาศัยการอบรมปัญญาทีละน้อย ขณะที่เข้าใจ นิดนึงในขณะนี้ ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายกิเลส แต่ก็ไม่รู้เลยว่าละกิเลสไปเท่าไหร่ แต่ก็ค่อยๆ ละแล้ว จนในที่สุด ปัญญาถึงพร้อมก็สามารถละกิเลสได้หมดสิ้นครับ อุปมาว่าด้วยเรือ เรือที่ตากแดด ตากลม เชือกที่ผูกไว้กับฝั่งก็ย่อมค่อยๆ เปื่อย เน่า ผุพังไป ฉันใด ผู้ที่อบรมปัญญา บ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมทำให้ละกิเลสได้ในที่สุดครับ
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ ๓๔๘
๙. นาวาสูตร
[๒๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือ หรือรอยหัวแม่มือของช่างไม้หรือลูกมือของช่างไม้ ย่อมปรากฏ ด้ามมีดให้เห็น แต่ว่าช่างไม้ หรือลูกมือของช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า วันนี้ ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้ วานนี้สึกไปเท่านี้ วานซืนนี้สึกไปเท่านี้ มีความรู้แต่เพียงว่า ด้ามมีดนั้นสึกๆ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มีความรู้อย่างนี้ว่า วันนี้ อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปเท่านี้ วานนี้สิ้นไปเท่านี้ วานซืนนี้สิ้นไปเท่านี้ ก็จริง แต่เธอก็รู้ว่าสิ้นไปแล้วๆ
เชิญอ่านข้อความคำบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์ ครับ
อ.สุจินต์ ลองจับด้ามมีด เมื่อจับนานๆ เข้า ด้ามมีดจะสึกเพราะการจับแต่ขณะที่จับครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ร้อยที่พัน ไม่เห็นด้ามมีดสึกเลย ต่อเมื่อไหร่ที่ด้ามมีดสึกแล้ว เมื่อนั้นจึงจะรู้สึกว่าสึกเพราะการจับ อวิชชาความไม่รู้ หรือการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ที่จะค่อยๆ คลาย ค่อยๆ หมดไปได้ เพราะสติระลึกแล้วระลึกอีก จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ขึ้นเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะดับความเห็นผิด ความไม่รู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ แต่ต้องคิดถึงความอดทนของคนจับด้ามมีด ถ้าไม่อดทน จับสักร้อยปีด้ามมีดอาจจะยังไม่สึกก็ได้ แต่จับต่อไปอีก วันหนึ่งก็ต้องสึกได้
เชิญคลิกฟังเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
การขัดเกลากิเลสเหมือนการจับด้ามมีด
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียด ลึกซึ้งยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่ เรื่องง่าย เพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขย แสนกัปป์ และตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ในการประกาศพระศาสนาของ พระองค์นั้น ก็เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ หมดจดจากกิเลสโดย ประการทั้งปวง ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากการแสดงพระธรรมของพระองค์ในแต่ละ ครั้งๆ นั้น มีผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และพระอริยบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นกว่าที่ท่าน จะได้บรรลุ ท่านก็ได้สะสมการสดับตรับฟังพระธรรม สะสมปัญญามาเป็นเวลาอัน ยาวนานด้วยกันทั้งนั้น
สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมในยุคนี้ ก็ไม่ควรที่จะท้อถอย ยิ่งยากก็ยิ่งจะต้องศึกษา เพราะปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอัน สั้น ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ ไม่ใจร้อน เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาล ภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อม ปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการ อบรมจึงจะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ ฟังพระธรรมได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การจับด้ามมีดเปรียบเหมือนการเจริญสติปัฎฐาน ต้องใช้เวลานานกว่า จะเข้าใจธรรม กว่าสติปัฏฐานจะเกิด กว่าจะเห็นด้ามมีดสึก ค่ะ