อาหารที่กินเข้าไปทำให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ ได้มั้ยคะ
พอดีอ่านบทความสุขภาพ เขาบอกว่าอาหารหลายอย่างมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึก กินบางอย่างแล้วจะหายเศร้า หายเครียด หายหงุดหงิด ทำให้ร่าเริงอารมณ์ดี บางอย่างกินแล้วจะเกิดอารมณ์ทางเพศ บางอย่างกินแล้วจะคลายกำหนัดทางเพศ บางอย่างกินแล้วความคิดจะแจ่มใสปลอดโปร่ง อยากทราบว่า ทางพระธรรมอธิบายเรื่องนี้ไว้ไหมคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูป ย่อมมีผลกับ รูปและนาม คือ จิต เจตสิก ด้วย แม้แต่อาหาร ที่เรียกว่า กวฬิงกราหาร ก็มีผลต่อ นามธรรม คือ จิต เจตสิก ในทางอ้อมเช่นกัน ครับ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีกิเลสอยู่ครับ เพราะ ความรู้สึกโสมนัส ยินดี ที่เกิด กับโลภะ ก็เพราะ อาศัยกิเลสที่มีอยู่นั่นเอง ขอยกตัวอย่าง อาหารบางประเภทที่ดี ประณีตมาก มีรสที่ดี สำหรับผู้ที่มีกิเลส ย่อมทำให้เกิดโลภะ และ เกิด ความชอบมาก ทำให้เกิดโสมนัสอย่างมาก เรียกทางโลกว่า เกิดอารมณ์ดี ผ่อนคลาย เป็นต้น ส่วนอาหารบางประเภท เช่น อาหารที่เผ็ด เปรี้ยวมาก เค็มมาก เป็นรสที่ไม่ดี ทำให้เกิด ชิวหาวิญญาณ อกุศลวิบาก ก็ทำให้ ชวนจิตเกิด อกุศลจิต ที่เป็นประเภทโทสะ ทำให้เกิด ความรู้สึกโทมนัส ทางโลกก็สมมติว่า ไม่ผ่อนคลาย ไม่สบาย เป็นต้นได้ นี่ เพราะ รูปเป็นปัจจัยกับนามได้ แต่โดยมาก มีผลกับผู้ที่มีกิเลสอยู่ครับ นี่คือ ความละเอียดของพระธรรม
ขออนุโมทนา
ขอกราบอนุโมทนาและขอบพระคุณค่ะ
ขอเรียนถามต่อนะคะ
คนที่กินยาหรือวิตามินอะไรเข้าไปแล้วสารสื่อประสาทในสมองดีขึ้น ยังผลให้อารมณ์ดีขึ้น เครียดน้อยลง ความหงุดหงิดลดลงเพราะสิ่งที่กินเข้าไปเป็นลักษณะของอาหารเป็นปัจจัยหรือเปล่าคะ หรือว่าเป็นการสะสมของคนนั้นเอง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น โดยปกติความติดข้องต้องการ ก็มีเป็นประจำอยู่แล้วสำหรับผู้ที่ยังดับโลภะไม่ได้ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดเมื่อใดก็ติดข้อง กิจหน้าที่ของโลภะ คือ ติดข้อง ไม่สละ ไม่ปล่อยในสิ่งที่ติดข้อง และ ไม่ปล่อยให้จิตเป็นกุศลด้วย นี้คือ ความเป็นจริง ดังนั้น เมื่อโลภะ เกิดขึ้น มีเวทนาเกิดร่วมด้วย จะเป็นความรู้สึกเฉยๆ หรือ ความรู้สึกที่เป็นโสมนัส ก็ตาม ตามความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น เมื่อได้รับอาหารที่พึงพอใจ ส่วนใหญ่ก็ชอบ มีความรู้สึกดีใจที่ได้รับในสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ ซึ่งก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย และข้อที่น่าพิจารณา คือ ไม่ใช่เฉพาะอาหารเท่านั้นที่เป็นที่ตั้งแห่งความติดข้องยินดีพอใจ มีมากมายกว่านี้มาก และส่วนใหญ่เมื่อติดข้องยินดีพอใจ ก็มักจะโทษสิ่งที่ตนเองติดข้อง ว่า เพราะมีสิ่งนี้ๆ ตนเองจึงติดข้อง แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นเพราะโลภะ ที่ตนเองได้สะสมมาแล้ว เท่านั้น เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งจะแตกต่างไปจากผู้ที่ดับโลภะได้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่โลภะจะเกิดขึ้นได้เลย ไม่ว่าจะประสบกับอารมณ์ที่น่าปรารถนาน่าใคร่สักเพียงใดก็ตาม
ยาหรือวิตามิน ย่อมมีผลต่อความเป็นไปของรูป และก็เนื่องถึงจิตด้วย เช่น เมื่อได้รับยาที่เหมาะควรแก่โรค หรือ ได้วิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ร่างกายแข็งแรง ทุเลาจากโรคภัยไข้เจ็บ จากที่เคยกังวลกับเรื่องดังกล่าว ก็ทำให้ลดน้อยลงได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมความเป็นธรรมความเครียด ความหงุดหงิด หรือ ความเป็นผู้มีจิตใจที่ดี เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ครับ
…ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ
ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตและเจตสิกจะเกิดได้ ต้องอาศัยรูป ซึ่งได้แก่ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ หทยะ กายปสาทนั้นซึบซาบอยู่ทั่วตัว ทั้งอวัยวะน้อยใหญ่ เว้นไว้แต่เพียงผมกับปลายเล็บ ส่วนมโนทวารก็รับรู้อารมณ์ทุกอย่าง ทั้งทางใจ และต่อจากทางทวารอื่นๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตย่อมรับรู้อารมณ์ทุกอย่างที่มากระทบรูป การทานยานอนหลับและการดื่มสุรา มีผลต่อรูปโดยตรง เช่น ระบบประสาท การทำงานของสมอง การเต้นของหัวใจ และอวัยวะอื่นๆ ซึ่งย่อมมีผลต่อการรับรู้ของจิตด้วย ครับ
ดังนั้น ยาวิตามินมีผลต่อรูปต่างๆ ทำให้รูปที่เกิดจากกรรมดีขึ้น ผ่องใสขึ้น เป็นเหตุให้เกิด ความรู้สึกโสมนัสได้ รู้สึกผ่อนคลาย สุขภาพดี แต่การเกิดกุศลจิต อกุศลจิตก็ตาม การสะสม ครับ
ขออนุโมทนา
รูปร่างกาย ไม่ว่าภายใน หรือภายนอก จะดี หรือไม่ดี จะแข็งแรง หรืออ่อนแอ ก็ไม่พ้นจาก 4 สาเหตุ (สมุฏฐาน 4 ให้เกิดรูป คือ กรรม , จิต , อุตุ , อาหาร) รูปร่างกายของเรานั้น กัมมชรูป และจิตตชรูป เป็นรูปร่างกายที่เกิดจากนามธรรมเหตุ อุตุชรูป และอาหารรูป เป็นรูปร่างกายที่เกิดจากรูปธรรมเป็นเหตุ ถ้าเป็นรูปธรรม แล้ว ก็ไม่พ้นจากอสรพิษร้าย ที่ทำลายเราอยู่ทุกขณะ