การกล่าวธรรมไม่กระทบผู้อื่นและการคลุกคลี
การกล่าวธรรมที่จะไม่กระทบผู้อื่นมีหลักอย่างไรคะ แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราก็อาจไม่รู้ตัวว่าเราเผลอกล่าวธรรมเพื่อกระทบคนอื่น อย่างวันก่อนดิฉันกับเพื่อนสนทนากันในเฟซบุ๊คเรื่องการทำอาชีพต่างๆ มีผลต่อกุศลและอกุศลในชีวิตประจำวันหรือไม่ แล้วเพื่อนก็เผลอเอาธรรมะมาพูดเสียดสีอาชีพคนค้าขาย แล้วเพื่อนอีกคนที่ค้าขายมาอ่านเจอเข้าก็บอกว่าที่เค้าเอาธรรมะมาโพสนั้นไม่ใช่ธรรมทานหรอก เป็นแค่การเอาธรรมะมาเป็นเครื่องมือดูหมิ่นคนอื่น ดิฉันจึงได้คิดว่าน่าจะจริง เคยอ่านกระทู้เก่าๆ บอกว่าการสนทนาธรรมไม่ชื่อว่าคลุกคลี แต่บางกรณีก็อาจจะเป็นการคลุกคลีใช่ไหมคะ เพราะว่าจุดประสงค์ที่กล่าวธรรมนั้นเพื่อกระทบคนอื่น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมทุกบท มีประโยชน์และมีค่า สำหรับผู้ที่ตั้งจิตไว้ชอบ ด้วยกุศลธรรม หากแต่ว่า การศึกษาพระธรรม ที่ไม่ดีที่เรียกว่า การศึกษาพระธรรมแบบ จับงูพิษที่หาง งูพิษย่อมแว้งกัดได้ เพราะจับไว้ไม่ดี ก็ทำให้เป็นทุกข์ปางตายฉันใด การศึกษาพระธรรมอันเป็นไปด้วยอำนาจกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลา มีการเพื่อให้ได้ลาภ สักการะสรรเสริญ รวมทั้งเพื่อว่าร้ายผู้อื่นๆ สรุปคือ ศึกษาพระธรรม เพื่อการเพิ่มอกุศล หรืออกุศลเจริญขึ้น ย่อมมีโทษกับผู้ที่ศึกษาและกล่าวธรรมในทางที่ผิด เพราะการตั้งจิตไว้ผิด ตั้งจิตในทางอกุศลนั่นเอง ครับ
ซึ่งในพระไตรปิฎกแสดงไว้ครับว่า มีสมณพราหมณ์จำนวนมาก ต่างก็โต้เถียง กล่าวว่า ด้วยถ้อยคำที่กล่าวด้วยธรรมของตนในกันและกัน ผู้หนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าสมณพราหมณ์เหล่านี้มีการโต้เถียง ขัดแย้ง เป็นอานิสงส์ หรือเป็นผล ส่วนธรรมของพระองค์มีอะไรเป็นผล อานิสงส์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมที่บุคคลศึกษาดีแล้ว ย่อมมี วิชชาและวิมุตติ คือ การหลุดพ้นจากกิเลสและการเกิดเป็นอานิสงส์ คือเป็นผล ดังนั้น ผู้ที่ศึกษาธรรมที่ผิด ทำให้มีการโต้เถียง และกล่าวว่ากันด้วยการยกธรรม อานิสงส์ หรือ ผล ของการกระทำนั้น ก็ตรงกันข้ามกับการศึกษาธรรมที่ถูก ผล คือ เพิ่มอกุศล คือ อวิชชา ความไม่รู้และกิเลสประการต่างๆ และทำให้ไม่หลุดพ้นจากกิเลสและไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์ คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตายได้เลย ครับ นี่คือ ผลของผู้ที่ศึกษาธรรมผิด มีการยกพระธรรมมาว่าร้ายกัน เป็นต้นและขณะที่ตั้งใจว่าร้าย แม้คำนั้นจะเป็นคำที่สุภาพตามชาวเมืองกล่าวกัน หรือเป็นคำที่เป็นพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่มีจิตร้าย ที่เป็นโทสะ ต้องการว่า ขณะนั้นก็เป็นผรุสวาจาแล้ว เป็นคำหยาบ หากครบกรรมบถ ถ้ากรรมให้ผล ก็ทำให้ไปอบายภูมิได้ครับ
การศึกษาพระธรรมจึงเป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลากิเลส ดังนั้น การศึกษาพระธรรมจึงมีโทษและมีประโยชน์ หากเป็นผู้ตั้งใจไว้ไม่ดี และ ดี ครับ การแสดงธรรมที่ถูกต้องจึงต้องเป็นไปเพื่อนุเคราะห์ เกื้อกูลกับผู้ที่ได้รับฟัง ให้ได้รับประโยชน์ ธรรมนั้นจึงจะบริสุทธิ์ และเป็นไปเพื่อละ สละกิเลสกับทั้งผู้แสดงและผู้ฟัง อันเป็นไปในการที่จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ครับ เพราะไม่มีพระธรรมบทไหนเลยที่จะแสดงให้ผู้แสดงธรรมและผู้รับฟังเกิดอกุศล ดังนั้น โทษของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไม่มีโทษ มีแต่ผู้ที่ศึกษาพระธรรมเองเท่านั้น ครับ
การแสดงธรรม หรือ การกล่าวธรรม รวมไปถึงการสนทนาธรรม ด้วย ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อโต้เถียงหรือแข่งกันว่าใครจะเก่งกว่ากัน เป็นต้น แต่เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้รับฟังเป็นสำคัญที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ได้ฟัง อันเป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ถ้ากล่าวธรรม ด้วยการตั้งจิตไว้ไม่ชอบ ซึ่งก็คือ ตั้งจิตไว้ผิด (เป็นอกุศล) ย่อมไม่บริสุทธิ์เลย เป็นการเพิ่มอกุศลให้กับตนเองมากยิ่งขึ้น ขึ้นชื่อว่าอกุศลแล้ว ไม่ดีเลย โดยประการทั้งปวง ครับ
ดังนั้น การกล่าวธรรมเพื่อกระทบผู้อื่น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่การกล่าวธรรมครับ เพราะ ขณะนั้น จิต เป็นอกุศล ไม่ใช่ กุศล ครับ
[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓- หน้าที่ ๓๓๔
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ๕ ประการเป็นไฉน? คือ ภิกษุพึงตั้งใจว่าเราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑ เราจักแสดงอ้างเหตุผล ๑ เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๑ เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑ เราจักไม่แสดงให้กระทบตนและผู้อื่น ๑ แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ดูก่อนอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏเป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกวัน ทุกขณะ เพื่อให้พุทธบริษัทเห็นโทษภัยของอกุศลธรรม และเห็นถึงภัยของสังสารวัฏฏ์ซึ่ง ตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมเจริญจนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้โดยเด็ดขาด สังสารวัฏฏ์ก็จะไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้นถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง พุทธบริษัทก็จะไม่เห็นโทษภัยของอกุศลธรรมและภัยของสังสารวัฏฏ์ แล้วก็จะไม่มีการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แต่เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาคุณต่อสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเพื่อปลดเปลื้องหมู่สัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ โดยที่พระองค์ไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลยจากการแสดงธรรมของพระองค์
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง ดังนั้น ผู้ที่กล่าวธรรมก็ควรที่จะแสดงแต่ความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อย่างอื่น และที่สำคัญ ขณะที่กล่าวธรรมสนทนาธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก นั่น ไม่ใช่การคลุกคลี เพราะการคลุกคลีเป็นเรื่องของอกุศล ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กล่าวธรรม เพื่อ ประโยชน์ผู้อื่น ไม่ใช่ เพื่อติเตียนผู้อื่น ค่ะ
ก่อนแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พีงต้้งธรรม ๕ ประการไว้ภายใน อนุโมทนา สาธุๆ ๆ ๆ