บุคคลมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แม้บูชาตอไม้...?

 
เบื้องบาทโมเนยยะ
วันที่  23 เม.ย. 2557
หมายเลข  24755
อ่าน  1,771

มีตัวอย่างกล่าวไว้ที่ไหน หรือไม่ อย่างไร ว่า

บุคคลมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว แม้บูชาตอไม้ หรือสิ่งใดก็ตาม

สิ่งนั้นย่อมเป็นเจดีย์ของผู้นั้น (ความหมายของเจดีย์มีอยู่)

.....................................................อนุโมทนาทุกท่านยิ่งที่แสดงความคิดเห็น

"ไม่ปรารถนาเห็นพุทธองค์อีกเลย"

โมเนยยปฏิปทา [นาลกสูตร]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เบื้องบาทโมเนยยะ
วันที่ 23 เม.ย. 2557
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 23 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่า เจดีย์ หมายถึง ควรบูชา ควรสักการะด้วยจิตที่อ่อนโยนนอบน้อม ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา แสดงเจดีย์ไว้ ๓ อย่าง คือ ปริโภคเจดีย์ (สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้สอย มี บาตร จีวร เป็นต้น รวมถึงต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นไม้เป็นที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ด้วย) อุทเทสิกเจดีย์ หรือ อุทิสสิกเจดีย์ (พระพุทธรูป ที่ผู้มีศรัทธาสร้างขึ้นเพื่อคารพสักการะบูชาน้อมระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) และ ธาตุกเจดีย์ (พระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

ดังข้อความจากอรรถกถา นิธิกัณฑสูตร ดังนี้

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๑๓

ในคาถานั้น ชื่อว่า เจติยะ เพราะควรก่อ ท่านอธิบายว่า ควรบูชา ชื่อว่า เจติยะ เพราะวิจิตรแล้ว. เจดีย์นั้นมี ๓ อย่าง คือ บริโภคเจดีย์ อุทิสสกเจดีย์ ธาตุเจดีย์.บรรดาเจดีย์ทั้ง ๓ นั้น โพธิพฤกษ์ ชื่อว่า บริโภคเจดีย์ พระพุทธปฎิมา ชื่อว่า อุทิสสกเจดีย์ พระสถูปที่มีห้องบรรลุพระธาตุ ชื่อว่า ธาตุกเจดีย์.์


การจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็เพราะ มีปัญญา ความเข้าใจพระธรรมเป็นสำคัญ การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ในที่นี้ ไม่ใช่พึ่งเพราะ ขาดความเข้าใจพระธรรม แต่เพราะอาศัยการศึกษาพระธรรม ปัญญาเจริญ จึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และเพราะอาศัยที่พึ่ง คือ พระรัตนตรัย ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพราะ แม้พระพุทธเจ้า จะปรินิพพานแล้ว แต่เพราะอาศัย การระลึกถึงพระคุณของพระองค์ ย่อมเป็นที่พึ่ง ให้พ้นภัยจากอกุศล สงบจากกิเลส และ เพราะอาศัยการศึกษาพระธรรมของพระองค์ ปัญญาที่เจริญขึ้นย่อมสามารถทำให้ดับกิเลส พ้นจากทุกข์และภัยทั้งปวง และ เพราะอาศัยการระลึกถึงคุณของพระสงฆที่มีคุณธรรม อันเกิดจากความเข้าใจพระธรรมของตน ขณะนั้นก็พ้นจากภัย คือ อกุศลประการต่างๆ ในขณะนั้น ครับ

พระรัตนตรัย จึงเป็นรัตนที่ประเสริฐ ที่ทำให้สัตว์โลก ผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เงินทอง พ้นจากทุกข์ได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถพ้นจากทุกข์อันเกิดจากกิเลส และพ้นทุกข์ คือ การเกิดในสังสารวัฏฏ์ได้เลย ปัญญาได้จากการศึกษาพระธรรม ปัญญานั้นเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ และทำให้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้อย่างถูกต้อง ครับ

การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา และปัญญานี้ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรมความเข้าใจพระธรรม ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ โดยไม่ไปฟังคนอื่นที่มีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงแสดงให้เห็นว่าการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องเริ่มจากการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง นั่นเอง ครับ.

คำบรรยายเรื่อง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง โดยท่านอาจารย์ สุจินต์

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานถึง ๔ อสงไขยแสนกัปที่สามารถจะรู้พระธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษาอยู่ที่ไหน และเดี๋ยวนี้มีไหม และคนยุคนี้สามารถได้รับฟังและเข้าใจได้หรือเปล่า นี่เป็นความต่างกันของคนในยุคโน้นกับคนในยุคนี้ ถ้าเคยไปวัดฟังพระธรรม ก็จะรู้ว่า ในอดีตกาลสมัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระอรหันต์มากมายพระอรหันต์คือใคร ก็ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยิน และได้ยินอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าได้ยินแล้วต้องการเข้าใจ ก็ฟังพระธรรมจนกระทั่งสามารถค่อยๆ เข้าใจคำที่ได้ยินทีละเล็กทีละน้อย เช่น ถามว่าพระอรหันต์คือใคร พระอรหันต์คือผู้ดับกิเลสหมด ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นได้เลย เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ควรเคารพอย่างสูง เพราะว่าการดับกิเลส เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า เมื่อเกิดมาทุกคนก็มีกิเลส และอยู่ไปวันๆ ทุกวันก็เต็มไปด้วยกิเลส เพราะฉะนั้นถ้าใครสามารถดับกิเลสได้ ผู้นั้นควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง สมัยนี้มีไหมคะพระอรหันต์ แล้วจะรู้ได้อย่างไรคะว่า ใครเป็นพระอรหันต์และใครไม่เป็นพระอรหันต์

นี่คือถ้าเราขาดความรู้ เราก็จะถูกหลอก เพราะเหตุว่าถ้าใครบอกว่าคนโน้นคนนี้เป็นพระอรหันต์ เราก็อาจจะเชื่อ แต่ตามความเป็นจริง ต้องเป็นความรู้ของเราเอง จึงสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามความเป็นจริง

ด้วยเหตุนี้เราจึงมีคำว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่เราใช้กันบ่อยๆ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ มีใครเป็นที่พึ่งคะ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ มีพระธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ที่ทำให้ทุกคนสามารถหมดจดจากกิเลสได้เป็นที่พึ่ง เพราะถ้าไม่มีพระธรรม ใครก็หมดกิเลสไม่ได้ และก็มีพระสังฆรัตนะ คือ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ถึงผู้ที่ไม่ใช่อริยะแล้วก็เป็นที่พึ่งได้ แต่ต้องเป็นผู้สามารถเข้าใจธรรม จนสามารถช่วยคนอื่นให้เข้าใจ ในฐานะของสาวกด้วย ไม่ใช่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุกคนเคยพูดคำนี้ไหมคะ ๓ ประโยค พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ แต่ขอเป็นที่พึ่งอย่างไร เพราะเหตุว่าแม้คำว่า “ที่พึ่ง” ก็ไม่รู้ว่า จะพึ่งพระรัตนตรัย พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีอีกเลยที่จะไปเฝ้า สักการะ หรือจะขอเป็นที่พึ่ง แต่ยังพึ่งได้อยู่ เพราะเหตุว่าเป็นพระบรมศาสดาที่ทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นสามารถรู้สามารถเข้าใจได้

เพราะฉะนั้นการที่จะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ พระองค์เป็นผู้มีพระปัญญาสูงสุดในสากลจักรวาล ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย และทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้ จะพึ่งอย่างไร หรือจะไม่พึ่ง หรือแต่เพียงกล่าวว่า พึ่ง แต่ไม่รู้จะพึ่งอย่างไร

เพราะฉะนั้นวันนี้เพียงแค่คำเดียวว่า “ธรรม” จะพึ่งธรรม จะพึ่งอย่างไร กำลังจะพึ่งเมื่อได้ฟังและเข้าใจ จึงจะพึ่งได้ ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีทางจะพึ่งเลย.


เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ

ปุฬินถูปิยเถราปทานที่ ๘ (๔๙๘) ว่าด้วยผลแห่งการก่อเจดีย์ทราย

มหากัสสปเถราปทาน .. ว่าด้วยผลแห่งการสร้างพุทธเจดีย์

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก พระรัตนตรัย หมายถึง รัตนะที่ประเสริฐ ๓ ประการ คือ พระพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์ การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เพียงท่องหรือพูดตามเท่านั้นว่า ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง โดยที่ไม่มีความเข้าใจพระธรรม เลย

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง, พระองค์ทรงปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการแสดงพระธรรม ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา แห่งการประกาศพระธรรมคำสอนของพระองค์หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ มีผู้ที่ได้รู้แจ้งธรรมหมดจากจากกิเลส เป็นผู้ปราศจากกิเลส เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งไม่มีบุคคลใดจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ได้

ถ้าหากไม่มีพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ก็ไม่มีใครสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันได้ เพราะฉะนั้น การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา และปัญญานี้ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรมความเข้าใจพระธรรม ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ โดยไม่ไปฟังคนอื่นที่มีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงแสดงให้เห็นว่าการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องเริ่มจากการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง นั่นเอง

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ ทุกคนมีความจริงใจต่อพระธรรมหรือเปล่า? ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจต่อพระธรรม ก็ต้องศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง แล้วน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม นี่คือความจริงใจในการศึกษาพระธรรม, การศึกษาพระธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ว่าเพื่อให้เข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้ที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์

ดังนั้น จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับทุกคนว่า จะต้องเป็นผู้มีความจริงใจในการเจริญกุศลที่จะดับกิเลส โดยเริ่มจากความจริงใจที่มีต่อพระรัตนตรัย และจะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ ที่จะพิจารณาว่า ตนเองมีความเคารพนับถือเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ เพื่อความไม่ประมาทและ เพื่อความเจริญยิ่งขึ้นในกุศลธรรมต่อไป บูชาพระรัตนตรัย ด้วยการเป็นคนดี ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 23 เม.ย. 2557

พึ่งพระรัตนตรัยด้วยการฟังธรรมด้วยความเคารพ ตั้งใจฟังให้เข้าใจ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 24 เม.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เบื้องบาทโมเนยยะ
วันที่ 25 เม.ย. 2557

บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมยังมหากุศลญาณสัมปยุตต์ให้เกิดขึ้นได้โดยง่าย

แม้...มหัคคตะกุศล ก็ให้เกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เบื้องบาทโมเนยยะ
วันที่ 25 เม.ย. 2557

[เล่มที่ 71] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ หน้า 242

สกจิตตนิยวรรคที่ ๗

๖๑. อรรถกถาสกจิตตนิยเถราปทาน

อปทานของท่านพระสกจิตตนิยเถระ นี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปวนํ

กานนํ ทิสฺวา ดังนี้.

พระเถระแม้นี้ ได้บำเพ็ญบุญสมภารไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูลแห่งหนึ่งเจริญวัยแล้ว เกิดขึ้นในกาลเป็นที่สิ้นพระชนมายุของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ยังไม่ทันได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อยังดำรงพระชนมายุอยู่. ในกาลที่พระองค์ปรินิพพาน ได้บวชเป็นฤาษี อยู่ในหิมวันตประเทศ ถึงป่าแห่งหนึ่งอันวิเวกน่ารื่นรมย์ ก่อเจดีย์ทรายที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง ทีนั้นเอาใจใส่ดังในพระผู้มีพระภาคเจ้า และเอาใจใส่ดังพระธาตุของพระองค์ บูชาด้วยดอกไม้ในป่า เที่ยวนมัสการอยู่. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านจึงท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เสวยสวรรค์สมบัติอันเลิศ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งสองนั้น และจักรพรรดิสมบัติอันเลิศ ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในเรือนมีตระกูลแห่งหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบิติ เพียบพร้อมด้วยศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสดา บวชได้เป็นพระอรหันต์ ผู้มีอภิญญา ๖.

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ