ปฐมราคสูตร ... วันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ คือ
ปฐมราคสูตร
... จาก ...
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่ม ๔๕ - หน้าที่ ๔๑๔
... นำสนทนาโดย ...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เล่ม ๔๕ - หน้าที่ ๔๑๔
๙. ปฐมราคสูตร
(ว่าด้วยผู้ถูกมารผูกไว้)
[๒๔๖] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้ สดับมาแล้วว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยัง ละไม่ได้แล้ว บุคคลผู้นี้เรากล่าวว่า เป็นผู้อันมารผูกไว้แล้ว สวมบ่วงแล้ว และถูกมารผู้มีบาปพึงกระทำได้ตามความพอใจ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งละได้แล้ว บุคคลผู้นี้เรากล่าวว่า มารผูกไม่ได้ สวมบ่วงไม่ได้ และมารผู้มีบาปกระทำตามความพอใจไม่ได้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี พระภาคเจ้า ตรัสคาถาประพันธ์ ดังนี้ว่า
พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ได้กล่าวบุคคลผู้สำรอกราคะ โทสะ และ อวิชชาได้แล้ว ผู้มีตน อันอบรมแล้วผู้ใดผู้หนึ่ง ว่า เป็นผู้ประเสริฐ ผู้ไปแล้วอย่างนั้น ผู้ตรัสรู้แล้ว ผู้ล่วงเวร และภัย ผู้ละกิเลสทั้งปวงเสียได้.
เนื้อความแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบปฐมราคสูตรที่ ๙.
อรรถกถาปฐมราคสูตร
ในปฐมราคสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ยสฺส กสฺสจิ เป็นคำกล่าวถึงบุคคลที่ไม่ได้กำหนดแน่นอน เพราะฉะนั้น อันบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม.
บทว่า ราโค อปฺปหีโน ความว่า กิเลส ชื่อว่า ราคะ เพราะอรรถว่า กำหนัด อันผู้ใดผู้หนึ่ง ยังละไม่ได้แล้ว ด้วยสามารถแห่งการตัดขาด (สมุจเฉทปหาน) คือ ไม่ให้ถึงการไม่ให้เกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วยมรรค. แม้ใน โทสะ และ โมหะ ทั้งหลาย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บรรดากิเลสเหล่านั้น ราคะ โทสะ โมหะที่จะให้ไปอบาย จะละได้ด้วยปฐมมรรค กามราคะ อย่างหยาบ และโทสะอย่างหยาบ จะละได้ด้วยทุติยมรรค กามราคะ และโทสะ เหล่านั้น จะละได้ไม่มีเหลือเลย ด้วยตติยมรรค. ภวราคะ และโมหะที่เหลือ จะละได้ด้วยมรรคที่ ๔. เมื่อละกิเลสเหล่านี้ได้อย่างนี้ กิเลสแม้ทั้งหมด ก็ย่อมละได้เหมือนกัน เพราะตั้งอยู่ในฐานะเดียวกัน กับกิเลสเหล่านั้น. ราคะเป็นต้นเหล่านี้ ตามที่พรรณนามานี้ ผู้ใดผู้หนึ่งจะ เป็นภิกษุ ก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม อุบาสกก็ตาม อุบาสิกาก็ตาม ยังละไม่ได้ แล้ว ด้วยมรรค.
บทว่า พนฺโธ มารสฺส ความว่า บุคคลนี้ เราตถาคตเรียกว่า ถูกมารคือกิเลสผูกไว้แล้ว และ เขาถูกกิเลสมารผูกไว้แล้วด้วยบ่วงอันใด ก็เป็นอันถูกแม้อภิสังขารมาร เป็นต้นผูกไว้แล้ว ด้วยบ่วงอันนั้น เหมือนกัน.
บทว่า ปฏิมุกฺกสฺส มารปาโส ความว่า กิเลส กล่าวคือบ่วงแห่งมาร เป็นอันเขา คือ บุคคลนี้ ผู้ยังละกิเลสไม่ได้ สวมไว้แล้ว เพราะยังละกิเลส ไม่ได้ นั้นนั่นเอง อธิบายว่า คล้องไว้แล้ว คือ สอดเข้าไปแล้ว ในจิต สันดานของตน ได้แก่ ถูกมารนั้นบังคับให้ผูกเอง.
อีกอย่างหนึ่ง บ่วงมาร พึงเป็นของที่เขาสวมแล้ว. พึงทราบอธิบาย ในธรรมฝ่ายขาวต่อไปนี้.-
บทว่า โอมุกฺกสฺส ความว่า บ่วงมารนั้น พึงเป็นของอันเขาเปลื้อง คือ แก้แล้ว ได้แก่ ตั้งอยู่ไม่ได้. คำที่เหลือ พึงทราบตามบรรยายที่ตรงข้ามจากที่กล่าวมาแล้ว. ในพระสูตรนี้ คาถามีมาแล้ว ด้วยสามารถแห่งธรรมที่เป็นฝ่ายขาว เท่านั้น ในพระคาถานั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ พระอริยะทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น กล่าวถึงพระอริยบุคคล ผู้สำรอกราคะ โทสะ และ อวิชชาออกแล้ว คือ ให้ดับไปแล้ว ด้วยมรรคอันเลิศ (อรหัตตมรรค) ผู้มีกายอันอบรมแล้ว ว่า เป็นผู้ประเสริฐ คือ เป็นพรหม หรือ เป็นผู้ ประเสริฐสุด คือ บรรลุพระอรหัตต์ (ความเป็นพระอรหันต์) แล้ว องค์ใด องค์หนึ่ง คือ องค์หนึ่ง ภายในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ชื่อว่า อบรมตนแล้ว เพราะมีศีล สมาธิ และปัญญาอันอบรมแล้ว พระขีณาสพ ทั้งหลาย เป็นผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ คือ อุปนิสัยที่เคยสะสมมาแล้ว และ ท่านเหล่านั้น ถึงแล้วคือบรรลุแล้ว ซึ่งพระนิพพานด้วยมัชฌิมา ปฏิปทาที่สงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ และปัญญาขันธ์ เว้นจาก ส่วนสุดทั้งสอง อีกอย่างหนึ่ง ท่านเหล่านั้น แทงตลอดลักษณะ ที่แท้จริง แห่งขันธ์เป็นต้น ตามความเป็นจริง ท่านเหล่านั้น รู้ยิ่งแล้วซึ่ง ทุกข์เป็นต้น อันเป็นธรรมที่แท้จริง โดยไม่ผิดพลาด และ ท่านเหล่านั้น เห็นอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้น ด้วยสามารถเพียงสิ่งที่ปรากฏ ให้เห็นได้ เป็นต้น เท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง พระอริยบุคคล ๘ จำพวก เหล่านี้ มีวาจาเป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งอริยโวหารอย่างเดียวโดย เว้นโวหาร (คำพูด) ที่ไม่ใช่ของพระอริยะ มีกายเป็นไปแล้วเหมาะสมแก่ วาจา และ มีวาจาเป็นไปแล้ว เหมาะสมแก่กาย ฉันใด พระอริยะทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น กล่าว คือ เรียก ได้แก่ สรรเสริญบุคคลนั้น ผู้ไป แล้วอย่างนั้น ว่า ผู้นี้เป็นพระอริยบุคคล ผู้ชื่อว่า รู้แล้ว เพราะรู้อริยสัจจ์ ๔ ผู้ก้าวล่วงบุคคลเวร (เวรเกิดจากบุคคล) กิเลสเวร (เวรเกิดจากกิเลส) และภัยมีการติเตียนตนเป็นต้น ชื่อว่าเป็นผู้ล่วงพ้นเวรภัย ผู้ชื่อว่าละ กิเลสทุกอย่างได้ เพราะละกิเลส และ อภิสังขารเป็นต้นทั้งมวลได้ ฉันนั้น.
จบอรรถกถาปฐมราคสูตรที่ ๙.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ปฐมราคสูตร
(ว่าด้วยผู้ถูกมารผูกไว้)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เพราะยังละราคะ โทสะ โมหะ ไม่ได้ ย่อมเป็น ผู้ยังไม่พ้นจากบ่วงแห่งมาร ยังไม่พ้นจากกิเลสมาร ยังไม่พ้นไปจากการเวียนว่าย ตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ส่วนผู้ที่ละราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว ย่อมเป็นผู้พ้นจาก กิเลสมาร พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
สังสารวัฏฏ์ ... ขณะนี้หรือเปล่า
ก่อทุกข์ในผู้อื่น ย่อมไม่พ้นจากเวร
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...