สุเมธาเถรีคาถา
ขุททกนิกาย เถรีคาถา มหานิบาต สุเมธาเถรีคาถา
สุเมธาเถรีคาถา
เราเป็นธิดาของพระอัครมเหสีแห่งพระเจ้าโกญจะ ในนครมันตาวดีชื่อว่า สุเมธา เป็นผู้อันพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้กระทำตามคำสั่งสอนให้เลื่อมใสแล้ว เป็นผู้มีศีล มีถ้อยคำไพเราะ เป็นพหูสูต ได้รับแนะนำดีแล้วในพระพุทธศาสนา เข้าไปเฝ้าพระชนกและพระชนนี แล้วกราบทูลว่า
ขอพระชนกพระชนนีทั้งสองโปรดฟังคำของหม่อมฉัน หม่อมฉันยินดีในนิพพาน เพราะว่าภพ ถึงแม้เป็นทิพย์ก็เป็นของไม่ยั่งยืน จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามทั้งหลายอันเป็นของเปล่า มีความยินดีน้อยมีความคับแค้นมาก กามทั้งหลายเผ็ดร้อนเปรียบด้วยอสรพิษ เป็นที่ทำให้คนพาลหลงหมกมุ่นอยู่ คนพาลเหล่านั้นต้องถึงทุกข์ เดือดร้อน ยัดเยียดอยู่ในนรกตลอดกาลนาน และเป็นเหตุทำให้คนพาลผู้มีความรู้ชั่ว ไม่สำรวมด้วยกาย วาจาและใจ ทำความชั่วต่างๆ ย่อมเศร้าโศกในอบาย ในกาลทุกเมื่อ เป็นเหตุทำให้คนพาล ผู้มีปัญญาทราม ไม่มีความคิด ยินดีแล้วในทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จักธรรมอันพระอริยเจ้าแสดงอยู่ ทั้งไม่รู้จักอริยสัจจ์
ข้าแต่เสด็จแม่ คนเหล่าใดไม่รู้จักสัจจะอันพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงแสดงแล้ว พากันชื่นชมภพ ปรารถนาการเกิดในเทวดา ชนเหล่านั้นมีอยู่เป็นอันมากในโลกนี้
การเกิดแม้ในพวกทิพย์ในภพอันไม่เที่ยง ก็เป็นของไม่ยั่งยืนและพวกคนโง่เขลาย่อมไม่สะดุ้งกลัวต่อการเกิดร่ำไป พวกเขาจึงประสบวินิบาต ๔ คติ ๒ ในกาลทุกเมื่อ และการบวชของคนที่ตกอยู่ในวินิบาตทั้งหลาย ย่อมไม่มีในนรก ขอพระชนกชนนีทั้งสองทรงโปรดอนุญาตให้หม่อมฉันบวชในพระศาสนาของพระทศพลเถิด หม่อมฉันจักเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย พยายามเพื่อละการเกิดการตาย จะเป็นประโยชน์อะไรด้วยภพ อันพวกคนพาลพากันเพลิดเพลิน เป็นโทษทางกาย ไม่เป็นแก่นสาร ขอพระชนกชนนี ทรงโปรดอนุญาตเถิด หม่อมฉันจะบวชเพื่อดับตัณหาในภพ การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หม่อมฉันไม่ได้พบแล้ว ขณะอันเป็นขณะไม่ควร หม่อมฉันก็ได้แล้ว หม่อมฉันไม่พึงประทุษร้ายศีลและพรหมจรรย์ตลอดชีวิต
เมื่อนางสุเมธาราชกัญญากราบทูลอย่างนี้ ลำดับนั้น พระชนกชนนีได้ตรัสกะนางสุเมธาราชกัญญาว่า
มารดาบิดาเป็นคฤหัสถ์ ถึงจะตกอยู่ในอำนาจของความตาย ก็จักไม่ยอมละทิ้งเจ้า มารดาเป็นทุกข์ร้องไห้ และบิดาก็เป็นทุกข์ ถูกความโศกครอบงำแล้วเหมือนกัน พยายามปลอบโยนนางสุเมธาซึ่งฟุบอยู่ที่แผ่นดินที่พื้นปราสาทว่า
ลุกขึ้นเถิดลูกรัก จะเศร้าโศกไปทำไม มารดาบิดาได้ยกเจ้าให้พระนครวารณวดีแล้ว คือ ได้ยกเจ้าให้พระเจ้า
อนิกรัตต์ผู้มีรูปงาม เจ้าจักเป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าอนิกรัตต์
ลูกรักเอ๋ย ศีลพรหมจรรย์และการบวชกระทำได้ยาก อำนาจในแว่นแคว้นของพระเจ้าอนิกรัตต์ ทรัพย์ ความเป็น
อิสสระ โภคะ ความสุขถึงสกุลนี้และสกุลของพระราชสามีทั้งหมด ลูกปรารถนาแล้ว ก็จักอยู่ในเงื้อมมือของลูก
แม้ลูกก็ยังเป็นสาว จงบริโภคกามทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นมารดาบิดาจึงขอร้องไว้ ขอลูกจงอยู่เถิด
ลำดับนั้น นางสุเมธาราชกัญญาจึงกราบทูลพระชนกชนนีว่า
อำนาจเป็นต้นเช่นนี้ ขอจงอย่ามีเลย เพราะภพไม่เป็นแก่นสาร หม่อมฉันจักบวช หรือถ้าทรงขอร้องไว้ก็จักตายเท่านั้น หม่อมฉันรู้อยู่ว่า ร่างกายนี้เป็นของเปื่อยเน่า ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป เป็นของน่ากลัว ตัวเป็นดุจกระสอบหนังอันเต็มด้วยซากศพ เต็มด้วยของไม่สะอาด ไหลออกมาอยู่เนืองๆ เหมือนอะไร หม่อมฉันรู้ว่า ร่างกายนี้เป็นดุจซากศพอันปฏิกูลอย่างยิ่ง ฉาบทาไว้ด้วยเนื้อและเลือด เป็นที่อยู่แห่งหมู่หนอน เป็นเหยื่อเลือด พระชนกชนนีจะยกให้ใครทำไม กายนี้ไม่นานนัก มีวิญญาณไปปราศจากแล้ว อันหมู่ญาติเกลียดอยู่ ย่อมทิ้งถมป่าช้า เหมือนท่อนไม้ฉะนั้น มารดาบิดาของตนยังเกลียด พากันนำเอาซากศพนั้นไปทิ้งให้เป็นเหยื่อของสัตว์อื่นในป่าช้า แล้วกลับไปอาบน้ำ จะกล่าวไปใยถึงประชุมชนทั่วไป
ชนทั้งหลายยินดีแล้วในกายอันเปื่อยเน่า เป็นซากศพ ไม่มีแก่นสาร อันมีกระดูกมีเอ็นเป็นเครื่องผูกรัด เต็มด้วยน้ำลาย น้ำตาและเหงื่อไคล ผู้ใดมาแยกกายนั้น ทำให้เห็นทั้งภายในและภายนอก ผู้นั้นไม่อาจทนต่อกลิ่นกายได้ แม้มารดาของตนก็พึงเกลียด
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้โดยอุบายอันแยบคายว่า ขันธ์ ธาตุและอายตนะ อันปัจจัยปรุงแต่ง มีชาติเป็นมูลเหตุ เป็นทุกข์ ไม่น่าชอบใจ
เพราะเหตุไรหม่อมฉันจะพึงปรารถนาพระดำรัสที่ขอร้องเล่า หอก ๓๐๐ เล่มอันลับแล้วใหม่ๆ พึงตกลงในกายทุกวันๆ ความกระทบกระทั่ง แม้เป็นไปสิ้นร้อยปียังประเสริฐกว่า ฉันใด ความสิ้นไปแห่งทุกข์พึงมี ฉันนั้น
ผู้ใดเป็นผู้รู้แจ้งพระดำรัสของพระศาสดา โดยนัยตามที่กล่าวแล้ว พึงประสบความกระทบกระทั่ง แม้ความสิ้นทุกข์ของผู้นั้นพึงประเสริฐยิ่ง และสังสาระของคนพาลเหล่านั้นผู้ถูกชรา พยาธิและมรณะเบียดเบียนบ่อยๆ เป็นของยาว ความคับแค้นอันหาประมาณมิได้ บัณฑิตแสดงไว้ในเทวดา หมู่มนุษย์ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อสุรกาย เปรต นรก ในนรกมีทุกข์เป็นอันมาก ความต้านทานในหมู่เทวดาทั้งหลายไม่มีแก่สัตว์ผู้ไปแล้วในวินิบาต ผู้เศร้าหมอง สุขอื่นจากสุข คือ นิพพานไม่มี ผู้ใดขวนขวายในคำสั่งสอนของพระทศพล เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย พยายามเพื่อละความเกิดและตาย ผู้นั้นชื่อว่าบรรลุนิพพาน
ข้าแต่เสด็จพ่อ วันนี้ หม่อมฉันจักออกบวชแน่นอน จะมีประโยชน์อะไรด้วยโภคสมบัติอันหาสาระมิได้ กามทั้งหลายอันเสมอด้วยอาเจียน หม่อมฉันเบื่อหน่ายแล้ว กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
นางสุเมธาราชธิดากราบทูลแด่พระชนกอย่างนี้ และนางสุเมธาราชธิดานั้น อันพระชนกชนนีประทานให้แก่พระเจ้าอนิกรัตต์ใด พระเจ้าอนิกรัตต์นั้นแวดล้อมด้วยคนหนุ่มๆ ตระเตรียมมาแล้ว เมื่อกาลจวนเข้ามาแล้ว ลำดับนั้น นางสุเมธาราชกัญญา ได้ทรงสดับว่าพระเจ้าอนิกรัตต์เสด็จมา จึงเอาพระขรรค์ตัดพระเกศาอันดำสนิท อ่อนสลวย งดงาม ปิดปราสาทแล้วเข้าปฐมฌาน นางสุเมธาราชกัญญาเข้าสมาบัติเจริญอนิจจสัญญาอยู่ในปราสาทนั้นนั่นเอง และพระเจ้าอนิกรัตต์ได้เสด็จมาถึงพระนคร และนางสุเมธาราชกัญญากำลังมนสิการถึงอนิจจสัญญาอยู่ พระเจ้าอนิกรัตต์มีพระองค์อันประดับด้วยแก้วมณีและทองคำ ได้รีบเสด็จขึ้นสู่ปราสาท ทรงทำอัญชลีอ้อนวอนนางสุเมธาราชกัญญาว่า
อำนาจ ทรัพย์ อิสริยยศ โภคะ ความสุข ในราชสมบัติ หม่อมฉันขอมอบให้พระน้องนาง พระน้องนางยังเป็นสาว ขอจงบริโภคกามสุขเถิด กามสุขเป็นของหาได้ยากในโลก ราชสมบัติหม่อมฉันยอมสละให้พระน้องนาง ขอพระน้องนางจงบริโภคโภคะทั้งหลาย จงให้ทานเถิด อย่าทรงโทมนัสเลย พระชนกชนนีของพระน้องนางทรงเป็นทุกข์ นางสุเมธาราชกัญญาผู้ไม่มีความต้องการด้วยกามทั้งหลาย ปราศจากโมหะ กราบทูลพระเจ้าอนิกรัตต์ว่า
พระองค์อย่าทรงเพลิดเพลินในกาม จงทรงเห็นโทษในกามทั้งหลาย พระเจ้ามันธาตุผู้เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ เป็นผู้เลิศกว่าบุคคลผู้บริโภคกามทั้งหลาย ยังไม่ทรงอิ่มด้วยกามทั้งหลาย ก็สวรรคตไป ความปรารถนาของท้าวเธอก็ยังไม่ทันบริบูรณ์เลย เทวดาผู้เป็นเจ้าแห่งฝน พึงบันดาลรัตนะ ๗ ประการให้ตกโดยรอบทั่วทั้ง ๑๐ ทิศ ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายมิได้มี นรชนทั้งหลายผู้ไม่อิ่มด้วยกามพากันตายไปหมด
กามทั้งหลาย เปรียบด้วยดาบและหลาว เหมือนหัวงูเห่า เปรียบดังคบเพลิงเผาอยู่เนืองๆ เหมือนร่างกระดูก
กามทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีทุกข์มาก เหมือนงูที่มีพิษมาก เหมือนก้อนเหล็กอันไฟติดทั่ว เป็นรากเหง้าแห่งทุกข์ มีทุกข์เป็นผล
กามทั้งหลายเปรียบเหมือนผลไม้อันเป็นพิษ เหมือนชิ้นเนื้อ นำมาซึ่งทุกข์
กามทั้งหลายเปรียบเหมือนความฝัน เป็นของหลอกลวง เหมือนของที่ยืมเขามา เปรียบด้วยหอกและหลาว เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นความทุกข์ยาก เป็นความลำบาก เช่นดังหลุมถ่านเพลิง เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ เป็นภัย เป็นนายเพชฌฆาต
กามทั้งหลาย บัณฑิตกล่าวว่ามีทุกข์มาก มีอันตรายมากอย่างนี้ เชิญพระองค์เสด็จกลับเสียเถิด หม่อมฉันไม่มีความคุ้นเคยในสมบัติของตนเลย เมื่อไฟไหม้อยู่ที่ศีรษะของตน ผู้อื่นจักช่วยทำประโยชน์อะไรให้หม่อมฉัน เมื่อชราและมรณะติดตามแล้ว ควรจะพยายามเพื่อทำลายชราและมรณะนั้น
นางสุเมธาราชกัญญา ทอดพระเนตรเห็นพระชนกชนนีและพระเจ้าอนิกรัตต์เสด็จมายังไม่ทันถึง ประตูปิด ประทับนั่งร้องไห้อยู่ที่แผ่นดิน จึงได้กราบทูลว่า
สังสาระของคนพาลทั้งหลายผู้ร้องไห้ถึงมารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย และตนเองซึ่งตายแล้วในสังสาระ เป็นสภาพยาว ขอพระองค์ทรงระลึกถึงน้ำตา น้ำนม เลือด และกองกระดูกของสัตว์ทั้งหลายผู้ท่องเที่ยวอยู่ไปมา เพราะความที่สังสาระมีที่สุดอันบุคคลรู้ไม่ได้
ขอจงทรงนึกถึงมหาสมุทรทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงน้อมเข้าไปเปรียบในน้ำตา น้ำนม และเลือด จงทรงนึกถึงกองกระดูกของคนหนึ่งในกัปป์หนึ่งเท่าภูเขาวิบุลบรรพต
จงทรงนึกถึงแผ่นดินใหญ่ คือ ชมพูทวีป ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบด้วยมารดาบิดาของบุคคลผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสาระ แผ่นดินใหญ่เมื่อแบ่งออกเป็นก้อนกลมๆ เท่าเมล็ดพุทรา ยังไม่เพียงพอในมารดาบิดาเลย
จงทรงนึกถึงหญ้า ไม้กิ่งไม้และใบไม้ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเปรียบด้วยมารดาบิดาของบุคคล ผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสาระ เพราะสังสารวัฏฏ์มีที่สุดอันรู้ไม่ได้ หญ้าไม้ กิ่งไม้และใบไม้ชิ้นหนึ่งประมาณเท่า ๔ นิ้ว ยังไม่เพียงพอในบิดาทั้งหลายเลย และชิ้นหนึ่งมีประมาณเท่านั้น ยังไม่เพียงพอใน ปู่ ย่า ตายาย
ทรงนึกถึงเต่าตาบอด และช่องแอกอันหมุนวนไปในทิศบูรพาและทางอื่นๆ อีก ในมหาสมุทร มาสวมศีรษะเต่าตาบอดตัวนั้น ข้อนี้อุปมาดังการได้อัตภาพเป็นมนุษย์
จงทรงนึกถึงรูปแห่งโทษ คือกายอันหาสาระมิได้ เปรียบเหมือนก้อนฟองน้ำ จงทรงพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายอันไม่เที่ยง
จงทรงคำนึงถึงนรกอันมีความคับแค้นมาก
จงทรงนึกถึงสัตว์ทั้งหลายผู้พอกพูนป่าช้าอยู่บ่อยๆ ในชาตินั้นๆ
จงทรงนึกถึงภัยอันเกิดแต่ท้อง
จงทรงนึกถึงอริยสัจจ์ ๔ เมื่ออมตมหานิพพานมีอยู่ จะมีประโยชน์อะไรด้วยของเผ็ดร้อน ๕ ประการ ที่พระองค์ทรงดื่มแล้ว เพราะว่าความยินดีในกามทั้งปวง มีความเผ็ดร้อนกว่าความเผ็ดร้อน ๕ ประการอีก เมื่ออมตมหานิพพานมีอยู่ พระองค์จะต้องการอะไร ด้วยกามทั้งหลายอันเป็นเหตุให้เร่าร้อนเล่า เพราะว่าความยินดีในกามทั้งปวง อันไฟ ๑๑ กองให้รุ่งเรืองแล้ว ให้เดือดพล่านแล้ว ให้กำเริบแล้ว ให้ร้อนพร้อมแล้ว
เมื่อการออกจากกามอันไม่มีข้าศึกมีอยู่ ไฉนพระองค์จึงทรงต้องการด้วยกามทั้งหลายอันมีข้าศึกมากเล่า กามทั้งหลายมีข้าศึกมาก ทั่วไปด้วยพระราชา ไฟ โจร น้ำและบุคคลอันไม่เป็นที่รัก
เมื่อความพ้นมีอยู่ ไฉนพระองค์จึงต้องการด้วยกามทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้ถูกฆ่าถูกจำจองเล่า เพราะว่าการถูกฆ่าและถูกจำจองก็เพราะกามทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลายได้เสวยทุกข์ต่างๆ เพราะความใคร่ในกาม คบเพลิงหญ้าอันไฟติดโชน ย่อมไหม้คนผู้ถืออยู่และไม่ทิ้ง เพราะว่ากามทั้งหลายเปรียบดังคบเพลิง ย่อมไหม้คนผู้ที่ไม่ละ
พระองค์อย่าทรงละสุขอันไพบูลย์ เพราะเหตุแห่งกามสุขอันเล็กน้อยเลย พระองค์อย่าทรงเป็นเหมือนปลากลืนกินเบ็ด แล้วเดือดร้อนในภายหลัง
พระองค์อย่าหมุนไปผิด เพราะกามทั้งหลาย ดังสุนัขอันถูกเขาล่ามโซ่ไว้เลย สัตว์ทั้งหลายผู้มีความอยากเพราะกามจัด บริโภคกามนั้น เหมือนเสือปลาถูกความหิวครอบงำ ได้สุนัขแล้ว ถึงความพินาศฉิบหาย ฉะนั้น
พระองค์ทรงประกอบด้วยกาม จักต้องทรงเสวยทุกข์ หาประมาณมิได้ และโทมนัสแห่งจิตเป็นอันมาก จงทรงสละกามทั้งหลายอันไม่ยั่งยืนเสียเถิด เมื่อนิพพานอันเป็นธรรมไม่แก่มีอยู่ ไฉนพระองค์จึงต้องการด้วยกามทั้งหลายที่มีความแก่เล่า
เพราะการเกิดทุกชาติในภพทั้งปวง ประกอบด้วยความตายและพยาธิ นิพพานนี้ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นทางดำเนินถึงความไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแคบเพราะข้าศึก ไม่มีความพลั้งพลาด ไม่มีภัย ไม่มีความเดือดร้อน อมตนิพพานนี้ อันพระอริยเจ้าเป็นอันมากได้บรรลุมาแล้ว และอมตนิพพานนี้ อันบุคคลผู้พยายามโดยอุบายอันแยบคายจะพึงได้แม้ในวันนี้ แต่บุคคลผู้ไม่พยายาม ไม่อาจจะได้แม้ในกาละไหนๆ
นางสุเมธาราชกัญญาตรัสอย่างนี้ เมื่อไม่ได้ความยินดีในสังขาร เมื่อจะทรงยังพระเจ้าอนิกรัตต์ให้ทรงยินยอม จึงทรงโยนผมที่ทรงตัดแล้วด้วยพระขรรค์ไปที่พื้นดิน พระเจ้าอนิกรัตต์เสด็จลุกขึ้นประคองอัญชลี ทูลขอกะพระบิดาของนางสุเมธาราชกัญญานั้นว่า
ขอจงทรงโปรดปล่อยให้นางสุเมธาบวชเถิด นางจะเป็นผู้เห็นวิโมกข์และสัจจะ
ก็นางสุเมธาราชกัญญา อันพระชนกชนนีทรงปล่อยแล้ว เป็นผู้กลัวต่อภัย คือความโศก ออกบวชแล้ว เมื่อศึกษาอยู่ ได้กระทำให้แจ้งซึ่งอภิญญา ๖ กระทำให้แจ้งซึ่งผลอันเลิศ คืออรหัตตผล นิพพานของนางสุเมธาราชกัญญา เป็นธรรมน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี
เมื่อจะแสดงวิธีตามที่ตนได้ประพฤติแล้วในปุพเพนิวาสญาณ พระสุเมธาเถรีจึงพยากรณ์ในเวลาปรินิพพานว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่า โกนาคมน์ เสด็จอุบัติแล้วในโลก เมื่อสังฆารามตั้งลงใหม่ๆ ข้าพเจ้าเป็นหญิง ๓ คน เป็นสหายกัน (คือนางธนัญชานี นางเขมา และข้าพเจ้า) ได้ถวายอารามให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ ข้าพเจ้าทั้ง ๓ ได้อุบัติในเทวโลก ๑๐ ครั้ง ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง และ ๑๐,๐๐๐ ครั้ง ไม่ต้องพูดถึงการเกิดในหมู่มนุษย์ ข้าพเจ้าทั้ง ๓ เป็นผู้มีมหิทธิฤทธิ์ในเทวโลกทั้งหลาย ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นผู้มีมหิทธิฤทธิ์ในหมู่มนุษย์ ข้าพเจ้าได้เป็นพระมเหสีนารีรัตน์ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีรัตนะ ๗ ประการ การที่เราสร้างอารามถวายให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ ในการแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมน์นั้นเป็นเหตุ เป็นแดนเกิดแห่งทิพยสมบัติตามที่กล่าวมาแล้ว ทั้งเป็นรากเหง้า เป็นเหตุให้อดทนในคำสั่งสอน เป็นเหตุให้ตั้งลงมั่นครั้งแรกในพระศาสนา และเป็นที่สุดสิ้นแห่งความเพียรของข้าพเจ้า ผู้ยินดีแล้วในธรรม บุคคลเหล่าใดย่อมเชื่อพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีปัญญาไม่ต่ำทราม บุคคลเหล่านั้นย่อมกล่าวอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในภพ ครั้นเบื่อหน่ายแล้ว ย่อมคลายกำหนัด
จบ