ศรัทธาเป็นเจตสิกฝ่ายกุศล แต่บางท่านกล่าวว่าศรัทธามากจะให้โทษ
อยากทราบว่าสัทธาเจตสิก (ศรัทธา) ให้โทษหรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัทธา เป็นภาษาบาลี ส่วน ศรัทธาก็มีความหมายเดียวกับสัทธา เพราะมาจากคำเดียวกัน คือ สัทธา ครับ ซึ่ง สัทธา หรือ ศรัทธา ในคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้น เป็นธรรมฝ่ายดี (โสภณธรรม) ที่เกิดร่วมกับจิตที่ดีงาม คือจิตที่ไม่มีกิเลสเกิดร่วมด้วย ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวเป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมความสงบของจิต และ การอบรมเจริญปัญญา จะไม่เกิดร่วมกับอกุศลจิต และ สัทธา หรือ ศรัทธา เป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ศรัทธาเป็นปรมัตถธรรม เป็นเจตสิกฝ่ายดี คือเป็นเจตสิก ที่เกิดร่วมกับโสภณจิตทุกประเภท ศรัทธาจึงเปรียบเหมือนสารส้มหรือแก้วมณีที่ทำให้น้ำใสสะอาดไม่ขุ่นมัว เพราะเหตุว่าเมื่อศรัทธาเจตสิกเกิดขึ้น อกุศลธรรมทั้งหลายซึ่งเปรียบเหมือนกับโคลนตมย่อมจมลง คือเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น เมื่อศรัทธาเกิดขึ้น อกุศลธรรมประการต่างๆ จะเกิดร่วมไม่ได้เลย เพราะศรัทธาเป็นธรรมฝ่ายดีจะไม่เกิดร่วมกับอกุศลจิต
ลักษณะของศรัทธาในพระไตรปิฎกแสดงลักษณะไว้ 2 อย่างคือ
1. มีความเลื่อมใสเป็นลักษณะ
2. มีการข่มนิวรณ์คือข่มกิเลสทำให้จิตผ่องใสเป็นลักษณะ
เพราะฉะนั้นศรัทธามาก ดี เพราะศรัทธาเป็นธรรมฝ่ายดี แต่ ศรัทธาที่ชาวบ้านใช้กัน แท้ที่จริง เป็นเพียงความเชื่อ เลื่อมใส ที่เป็นอกุศลก็ได้ เช่น ศรัทธาพระรูปนี้ ดังนั้น เชื่อเลื่อมใสที่เป็นอกุศล มีโทษ ที่ไม่ใช่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ใช้คำว่า ศรัทธา ที่ไม่ถูกต้อง สภาพธรรมที่เป็นสัทธา สัทธาเจตสิก เป็นสังขารธรรม ที่จะต้องเกิดขึ้นและดับไปเสมอ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้น ดังนั้น ขณะใดที่จิตที่ดีเกิดขึ้น จะต้องมีสัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ และ สัทธาเจตสิกนั้นก็ต้องดับไป เสื่อมไปเป็นธรรมดา ซึ่งเหตุให้เกิดศรัทธา ศรัทธาจะเกิดเพิ่มขึ้นได้ก็ต้องมีเหตุ นั่นคือ อาศัยการฟังพระธรรม จากสัตบุรุษ มีการได้อ่าน ได้ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่า การได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อันเป็นเหตุให้เกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นนั้น เพราะการฟังศึกษาพระธรรม เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะอาศัยความเข้าใจถูกในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้ละคลายกิเลส ละความไม่รู้ และคิดถูกต้องตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เห็นพระพุทธคุณ หรือ คุณของพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริงว่า พระองค์ทรงแสดงพระธรรมที่ถูกต้อง และทรงมีพระปัญญา จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เพราะอาศัยปัญญาที่เกิดจากการศึกษา ฟังพระธรรมเป็นสำคัญ และเมื่อเข้าใจถูกในพระธรรมที่ได้ศึกษา ก็เกิดความเลื่อมใส เกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นในพระธรรม ทำให้เห็นประโยชน์ในคุณค่าของการได้ศึกษาพระธรรม และ ศึกษาพระธรรมต่อไป ก็มีศรัทธาในพระธรรมเพิ่มขึ้น เพราะปัญญาที่เพิ่มขึ้น และเมื่อมีความเข้าใจพระธรรม เมื่อเห็นพระภิกษุ ก็เกิดความเลื่อมใสในพระภิกษุ โดยไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าท่านจะมีกิริยาอาการอย่างไร แต่น้อมนึกถึงคุณของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็เกิดความเลื่อมใสในพระสงฆ์ด้วย
นี่แสดงถึงเหตุให้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา คือ การได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และเกิดปัญญาของตนเอง ก็จะทำให้ศรัทธาเพิ่มขึ้น และที่ละเอียดลงไปอีกในสภาพธรรมที่เป็นศรัทธา คือ ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิตที่ดี เช่น กุศลจิต ดังนั้น ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ก็มีศรัทธาเกิดร่วมด้วยเสมอ เพราะฉะนั้นกุศลทุกๆ ประการ คือ ทาน ศีล การฟังธรรม เจริญปัญญา มีศรัทธาเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ยิ่งกุศลจิตเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ศรัทธาก็มีมากเท่านั้น กุศลจิตจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการเกิดขึ้นของปัญญา ก็กลับมาที่เหตุให้เกิดปัญญา และศรัทธา ก็คือการฟังธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงเหตุให้เกิดศรัทธา เจริญขึ้นของศรัทธา ดังนี้
เรื่องเหตุให้เกิดศรัทธา
[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕- หน้าที่ 203
ข้อความบางตอนจาก ตัณหาสูตร
..... แม้ศรัทธา เราก็กล่าวว่ามีอาหาร (เหตุ) มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของศรัทธา ควรกล่าวว่า การฟังสัทธรรม แม้การฟังสัทธรรม เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การคบหาสัปบุรุษ
เชิญคลิกอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่ศรัทธาก็เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ศรัทธาเกิดเมื่อใด อกุศลธรรมทั้งหลายเกิดไม่ได้เลย การศึกษาพระธรรมประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำอะไรก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ เลย แม้แต่คำที่กล่าวถึงคือศรัทธา
ศรัทธา ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา นั้น เป็นธรรมฝ่ายดี (โสภณธรรม) ที่เกิดร่วมกับจิตที่ดีงาม คือ จิตที่ไม่มีกิเลสเกิดร่วมด้วย ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมความสงบของจิต และ การอบรมเจริญปัญญา จะไม่เกิดร่วมกับอกุศลจิต ดังนั้น ศรัทธา ก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ความเป็นจริงของศรัทธาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ละเว้นบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา คบหาสมาคมกับบุคคลผู้มีศรัทธา ย่อมเกื้อกูลให้ศรัทธาเจริญยิ่งขึ้นได้
ในบางพระสูตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ศรัทธา เป็นเพื่อนสองของคน หมายถึง เป็นเพื่อนของผู้ที่จะไปสู่สวรรค์และนิพพาน เพราะเหตุว่า เมื่อบุคคลประกอบด้วยศรัทธาแล้ว ย่อมสามารถทำให้ได้รับประโยชน์ทั้งในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า คือ เกิดในภพภูมิที่ดี (มีสวรรค์ และมนุษย์ภูมิ) และได้รับสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ อันเป็นผลของกุศล และ ทำให้ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง คือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ดับกิเลสตามลำดับขั้น เนื่องจากว่าบุคคลผู้ที่มีศรัทธา จึงมีการเจริญกุศลประการต่างๆ มีการคบหากัลยาณมิตร ผู้มีปัญญา มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะอาศัยศรัทธา เป็นเบื้องต้น นั่นเอง ดังนั้น ศรัทธา จึงเป็นสภาพธรรมที่นำมาซึ่งประโยชน์เท่านั้น นำมาซึ่งประโยชน์ ทั้งในโลกนี้ ในโลกหน้า และอุปการะเกื้อกูลให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ด้วยครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...