โอฆะ และอรรณพ
เรียนท่านวิทยากร
จากอาฬวกสูตร กล่าวถึง จะข้ามโอฆะ ได้อย่างไร (ตรัสตอบว่า ข้ามได้ด้วยศรัทธา) จะข้าม อรรณพ ได้อย่างไร (ตรัสตอบว่า ข้ามได้ด้วยความไม่ประมาท) คือ สงสัยระหว่างโอฆะ และอรรณพ มีความแตกต่างกันอย่างไรค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โอฆะ หมายถึง ห้วงน้ำ คือ กิเลส ที่เป็น โอฆะ 4 ประการ
อรรณพ หมายถึง ห้วงน้ำที่ลึก กว้างใหญ่ หมายถึง สังสารวัฏฏ์ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่ไม่มีที่สิ้นสุด ครับ และ หมายถึงกิเลสด้วย
เพราะฉะนั้น ทั้งโอฆะ และ อรรณพ ก็มีอรรถ ความหมายที่เหมือนกัน เพียงแต่ อรรณพ แสดงถึง สังสารวัฏฏ์ ด้วยเท่านั้น ครับ
[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 433
ในคาถานั้น เหมวตยักษ์ทูลถามถึงเสกขภูมิว่า ใครเล่าข้ามโอฆะสี่ได้ ด้วยบทนี้ว่า ในโลกนี้ ใครเล่าข้ามโอฆะได้. โดยไม่แปลกกัน เพราะคำว่า อณฺณว ได้แก่ ห้วงน้ำซึ่งมีประมาณไม่กว้างและไม่ลึก
ก็อีกอย่างหนึ่ง อรรณพเช่นกับที่ท่านกล่าวว่า ทั้งกว้างกว่าและลึกกว่านั้นแล ชื่อว่า อรรณพ คือ สังสารวัฏฏ์ ก็อรรณพ คือ สังสารวัฏฏ์นี้ โดยรอบก็กว้าง เพราะไม่มีที่สุด โดยเบื้องต่ำ ก็ลึก เพราะไม่มีที่ตั้ง โดยเบื้องบน ก็ลึกเพราะไม่มีที่ยึดเหนี่ยว เพราะฉะนั้น เหมวตยักษ์จึงทูลถามถึงอเสกขภูมิว่า ในโลกนี้ ใครเล่าข้ามอรรณพได้ และใครย่อมไม่จมลงในอรรณพที่ลึกซึ้งนั้น ไม่มีที่พึ่งไม่มีที่ยึดเหนี่ยว.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
โอฆะ เป็นกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่ ที่ท่วมทับหมู่สัตว์อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังพัดพาให้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ไม่ให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน ไม่ให้ถึงการดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด โดยสภาพธรรมของกิเลสที่เป็นดุจห้วงน้ำใหญ่ นั้น ไม่พ้นไปจาก โลภะความติดข้องยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน (รวมถึงความยินดีในภพ ความยินดีในขันธ์ด้วย) นอกจากนั้นก็ยังมีทิฏฐิ ซึ่งเป็นความเห็นผิด และอวิชชา ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
บุคคลผู้ที่จะข้ามกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่ได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น จึงไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เป็นผู้หมดจดจากกิเลส ไม่จมลงอยู่ในกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่อีกต่อไป นอกจากการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะนอกจากปัญญาแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาดับกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา ซึ่งต้องเริ่มอบรมเจริญจากการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ครับ .
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
จมอยู่โดยนัยของโอฆะ ๔ [อุทกูปมสูตร]
ผู้ข้ามโอฆะแล้ว [กติฉินทิสูตร]
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส ย่อมถูกท่วมทับด้วยกิเลสประการต่างๆ ทั้งโลภะ ความติดข้องยินดี พอใจ, มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากความเป็นจริง, โมหะ (อวิชชา ความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริง) และ กิเลสประการอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นผู้ไหลไปตามกิเลส อีกทั้งยังถูกกิเลสเหล่านี้พัดพาให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ไม่ให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน เนื่องจากว่ายังเป็นผู้มีกิเลสอยู่ จึงยังต้องเดินทางไกล คือ สังสารวัฏฏ์ ไม่พ้นไปจากการเกิดการตายได้ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง ไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้น ไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เป็นผู้หมดจดจากกิเลส ไม่จมลงอยู่ในห้วงของกิเลส และ ไม่มี-การเดินทางไกล คือสังสารวัฏฏ์ อีกต่อไป นอกจากการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะนอกจากปัญญาแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาดับกิเลสได้เลย ดังนั้น จึงควรที่จะเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา ซึ่งต้องเริ่มอบรมเจริญจากการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับที่สำคัญ ไม่ขาดการฟัง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...