ไม่เห็นกลัวการปฏิบัติผิดหรือคะ น่ากลัวยิ่งกว่าผีอีก

 
chatchai.k
วันที่  26 ส.ค. 2557
หมายเลข  25406
อ่าน  1,157

ได้ฟังข้อความนี้จาก ไฟล์ฟังธรรม ในกลุ่ม ธรรมเตือนใจ หัวข้อ น่ากลัวกว่าผี ได้ข้อคิดเตือนใจจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ตามหัวข้อกระทู้นี้ครับ

ขอความกรุณาจากท่านวิทยากรช่วยอธิบายเพิ่มเติมในเรื่อง การปฏิบัติผิด และอย่างไรจึงเป็นการปฏิบัติถูก ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิบัติ เป็นคำทั่วไปที่ใช้กัน อันหมายถึง การกระทำอะไรสักอย่าง ที่ออกมาทางกาย วาจา อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติ แต่คำว่าปฏิบัติในพระพุทธศาสนา มีความละเอียดลึกซึ้ง เพราะการกระทำทางกาย วาจาจะออกมาได้ จะต้องมีใจที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ปฏิบัติจึงไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิตใจ นั่นคือ จิต เจตสิกที่เป็นธรรมที่ทำหน้าที่

จิต เจตสิกที่ทำหน้าที่นั้น ก็มีทั้งที่เป็นฝ่ายดี และ ไม่ดี เพราะฉะนั้น ที่สมมติเรียกว่าปฏิบัติที่เกิดจากจิตนั้น ก็ต้องมีทั้งการปฏิบัติที่ดี ถูกต้อง และ ปฏิบัติที่ไม่ดี ปฏิบัติผิด ซึ่งการปฏิบัติที่ผิด คือ การกระทำทางกาย วาจา ที่ออกมา แต่เกิดจากอกุศลจิต เกิดจากความเห็นผิดเข้าใจผิด เช่น พยายามนั่งสมาธิ เดินจงกรม อันสำคัญว่าปฏิบัติ อย่างนี้ก็เกิดจากจิตที่ประกอบด้วยความต้องการ ที่เป็นโลภะ ในขณะนั้น เป็นอกุศล จึงชื่อปฏิบัติผิด แต่ขณะใดที่กระทำด้วยปัญญา ด้วยความเห็นถูก ที่เป็น ปฏิบัติ คือ ถึงเฉพาะในลักษณะสภาพธรรม คือ รู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมว่าเป็นเพียงธรรม ไม่ใช่เรา การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง เพราะมีเหตุ คือ ปัญญา ความเห็นถูกเป็นสำคัญ

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติผิด และ การปฏิบัติถูก สำคัญที่จิตละสำคัญที่ ปัญญา หรือ ความเห็นผิดเป็นสำคัญ เป็นเครื่องตัดสิน ครับ ถ้าทำด้วยความไม่รู้ และ ปัญญา ไม่เจริญขึ้น ก็เป็นการปฏิบัติที่ผิดแน่นอน

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง การฟัง การศึกษาพระธรรมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ประโยชน์ของการฟัง ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง จึงเป็นเบื้องต้นของการบรรลุธรรม ครับ สมดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ต้องอาศัยการฟังธรรม พิจารณาธรรมโดยแยบคาย และ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ ปัญญาเกิดในขณะที่ฟังธรรมนั่นเอง ย่อมถึงความเป็นพระโสดาบันครับ

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 279

๕. ทุติยสาริปุตตสูตร
ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดาบัน

[๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะๆ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน.

[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.

[๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑. ฯลฯ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 26 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประพฤติปฏิบัติหนทางใดๆ ด้วยความไม่รู้ หนทางนั้นไม่ใช่หนทางของปัญญา เป็นหนทางแห่งความเห็นผิด คือ มิจฉาทิฏฐิ

(อ้างอิงจาก ... ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕)

ถ้าหากว่าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีทางที่จะมีปัญญาเจริญขึ้นในขั้นต่อไปที่เป็นขั้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จนถึงขั้นประจักษ์แจ้งความจริงดับกิเลสตามลำดับขั้น ได้เลย ถ้าหากว่าไม่ต้องเรียนปริยัติ ให้ไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาเพื่อที่จะได้รู้ความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คงไม่ต้องมีก็ได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมแล้วทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตามความเป็นจริง ทรงแสดงพระธรรมตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ก็เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะธรรมไม่ง่ายและไม่สามารถคิดธรรมเอาเองได้.

พระอริยสงฆ์สาวกในอดีตเริ่มตั้งแต่พระอัญญาโกญฑัญญะ เป็นต้น ล้วนเป็นผู้ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วทั้งนั้น

ถ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว ก็จะไม่ว่างเว้นจากการศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเลย ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ดำเนินตามหนทางที่พระอริยสงฆ์สาวกดำเนินแล้วซึ่งเป็นหนทางเดียวและเป็นหนทางเดิม คือหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เพราะมีปริยัติที่ถูกต้อง ปฏิปัตติคือการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสติและปัญญา จึงมีได้ และเพราะมีปฏิปัตติที่ถูกต้อง ปฏิเวธ จึงมีได้ ซึ่งจะต้องมีรากฐานสำคัญตั้งแต่ในขั้นปริยัติ คือ การรอบรู้ในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 26 ส.ค. 2557

ถ้าให้ทาน รักษาศีล หรือศึกษาธรรมะเพื่อลาภ สักการะ เป็นมิจฉาปฏิปทา เป็นการปฏิบัติธรรมผิด ไม่ได้ออกจากสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าฟังธรรม อบรมปัญญา เจริญกุศลทุกอย่าง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้ เพื่อออกจากสังสารวัฏฏ์ เป็นสัมมาปฏิปทา คือ ปฏิบัติทางถูก ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kullawat
วันที่ 27 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pulit
วันที่ 30 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ