ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้านเดอะคอทเทจ พัฒนาการ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้รับเชิญจากคุณฟองจันทร์ วอลช คุณจิราภรณ์ สินสมุทร คุณอนุทิน กฐินทอง
คุณเสาวณีย์ นามวิชัย และ พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง
เพื่อไปรับประทานอาหารและสนทนาธรรม ที่ ร้านเดอะคอทเทจ ถนนพัฒนาการ
ทราบว่าเป็นร้านที่มีอาหารทั้งไทย จีน และ ฝรั่ง ที่เปิดให้บริการมายาวนานกว่า ๓๐ ปีแล้ว
มีสถานที่กว้างขวางมาก ที่จอดรถก็สะดวกสบาย อยู่ใกล้ทางลงทางด่วน
อาจณรงค์-รามอินทรา เพียงนิดเดียวเท่านั้น ตัวอาคารบางส่วนแม้จะดูเก่าไปบ้าง
เนื่องจากเปิดดำเนินการมาร่วม ๓๕ ปีแล้ว แต่ก็ถูกบำรุงรักษาไว้อย่างดี
มีทั้งส่วนที่เป็นห้องอาหารใหญ่ มีโต๊ะนั่งและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้สวยงาม คลาสสิคมาก
และ มีส่วนที่เป็นห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวขนาดพอเหมาะไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป ดูสะอาด ร่มรื่น
เป็นที่สำหรับรับประทานอาหารและสนทนาธรรมในวันนี้ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของร้าน
เนื่องจากทางร้านมีอาหารบริการหลากหลายชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ผ่านการพิสูจน์
จากลูกค้ามาเป็นเวลานานกว่าสามสิบปีแล้ว ว่ามีรสชาติที่อร่อยถูกปาก ได้มาตรฐาน
ทางท่านเจ้าภาพจึงเห็นว่า ให้ทุกๆ ท่านที่ไป ได้สั่งอาหารที่ตนเองชอบไว้ล่วงหน้าเลย
เมื่อไปถึงจะได้ไม่ต้องเป็นการเสียเวลา เมื่อได้เวลาเสิร์ฟอาหาร ก็นำมาวางตามชื่อที่ติดไว้
ข้าพเจ้าและคุณภรรยา สั่งเป็นผัดไทและปลาแซลม่อนย่าง แต่พี่แอ๊ว (ฟองจันทร์)
ได้กรุณาสั่งจานอื่นๆ มาให้ทุกๆ ท่านชิมเพิ่มเติมด้วย เป็นอาหารที่อร่อยรสชาติดีทุกจานครับ
มีอยู่จานหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเซอร์ชในกูเกิล เขาบอกว่ายำผักบุ้งร้านนี้อร่อย
ซึ่งข้าพเจ้าก็ "คิดเอาเอง" อย่างที่เคยเห็นมา ว่าจะเป็นผักบุ้งชุบแป้งทอดกรอบราดน้ำยำ
แต่เมื่อพี่แอ๊วสั่งมาให้ลองรับประทาน เขาใช้ผักบุ้งลวกครับ ไม่ใช่ผักบุ้งชุบแป้งทอด
"คิดเอง" อีกแล้ว และ ไม่เป็นอย่างที่คิดเสียด้วย
นี้เป็นเหตุให้พิจารณาและเตือนตนเองว่า เมื่อได้ฟังพระธรรม ไม่ควรคิดเอาเอง
แต่ฟังและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง เท่านั้น ไม่คิดเอง ไม่คิดเอง ไม่คิดเอง
ไม่คิดว่าพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
แต่ "ฟัง" ด้วยความเคารพในพระปัญญาคุณ ด้วยความนอบน้อม ด้วยความละเอียด ไม่เผิน
ไม่ "คิดเอาเอง" ว่าพระธรรมง่าย รู้ได้ ด้วยเพียงการฟังนิดๆ หน่อยๆ ด้วยการคิดเอาเอง
ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
แต่ "ฟัง" ฟังแล้วฟังอีก เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง เมื่อไม่เข้าใจ ก็รู้ว่าไม่เข้าใจ
หนทางที่จะเข้าใจก็คือ ก็ฟังอีก และ ฟังอีก
"ฟัง และ พิจารณา" ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ย้ำว่า ฟังและพิจารณา ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
หมายความว่า พิจารณาในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง เท่านั้น
ไม่ใช่ "คิดเอาเอง" นะครับ
สำหรับท่านเจ้าภาพท่านหนึ่ง คือ พี่แอ๊ว (ฟองจันทร์) นั้น ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านไว้แล้ว
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปร่วมฟังการสนทนาธรรม ที่บ้านย่านสุขุมวิท ทั้งสองแห่ง
ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับพี่แอ๊ว ได้ที่ลิงค์ด้านล่าง นะครับ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณฟองจันทร์ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔
ผู้เพิ่งจากไป....คุณไอแว่น วอลช
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณฟองจันทร์ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖
ข้าพเจ้าระลึกถึงคำของท่านอาจารย์อยู่บ่อยๆ ที่ว่า
"...การได้พบกันในชาติซึ่งได้เกื้อกูล เป็นมิตรกันในพระธรรม
หรือว่า มีส่วนร่วมในการเผยแพร่พระธรรม
ชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุดในสังสารวัฏฏ์ ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ..."
เป็นบุญแต่ปางก่อนโดยแท้ ที่ได้นำมาพบกับพระธรรมในชาตินี้ ซึ่งไม่สูญเปล่าแล้ว
ด้วยว่า เพียงผลของกุศลกรรมหนึ่ง ที่นำเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้
แม้จะเป็นผู้ได้รับผลของกุศลกรรมที่ดีมากมาย พรั่งพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
ที่มากมายสักเท่าใดก็ตาม หากปราศจากโอกาสที่จะได้พบและเข้าใจพระธรรม
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ ย่อมเป็นผู้ที่ไร้ค่ากับการที่ได้เกิดมา
ทรงแสดงว่า การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก การที่ได้พบกับพระธรรม
ในสมัยที่ได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ยากยิ่งกว่า และแม้การได้เกิดและพบพระธรรมแล้ว
ที่จะได้ฟังและเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นขณะที่ยากยิ่ง ไม่ใช่ง่ายๆ เลย
ทรัพย์สมบัติใดในโลก จึงจะมีค่ายิ่งไปกว่าการที่ได้มีโอกาสได้ฟังและเข้าใจพระธรรม
เพื่อสะสมเพิ่มพูนไว้ในจิต อันจะเป็นที่พึ่งแก่บุคคลตลอดทุกๆ ชาติ ในสังสารวัฏฏ์
หาใช่ทรัพย์สมบัติมากมาย ที่ไม่สามารถนำติดตัวไปได้เลย
เพราะเหตุว่า ความเข้าใจธรรมะ คือ การเข้าความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า "ปัญญา" นั่นเอง ที่จะเป็นที่พึ่งแก่บุคคล
เมื่อบุคคลมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น
ใน "คำจริง วาจาสัจจะ" ที่ได้ทรงแสดง ฝังไว้แนบแน่นในหทัย โดยไม่ลืม
ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ไหนๆ ในสถานการณ์ใดๆ บุคคล ย่อมเป็นผู้ที่มีความเข้าใจนั้น เป็นที่พึ่ง
ซึ่งสามารถที่จะรู้และพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ในขณะนั้น
ถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาพระธรรม ว่าความเข้าใจของตนๆ มีมากน้อยประการใด
ทั้งหมด ก็เพื่อการขัดเกลากิเลสของตน เพื่อการเป็นคนดีขึ้น
และมั่นคงขึ้นในความเข้าใจว่า ไม่มีบุคคลใดที่ดี นอกจากธรรมที่ดี ที่เกิดขึ้นเป็นไป เท่านั้น
ซึ่งข้าพเจ้ายังรู้สึกซาบซึ้งในคำเตือนของท่านอาจารย์ ที่ได้เคยฟังเมื่อนานมาแล้ว
และได้นำลงไว้ ในกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย เป็นตอนแรก
เมื่อเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ มีความบางตอนว่า...
...แล้วฟังธรรมะ เพื่ออะไร? เพื่อรู้ตามความเป็นจริง
เพื่ออะไรคะ?
ถ้ารู้ว่า "ไม่ดี" จะ "แก้ไข" ไหม?
เวลานี้ เท่าที่ทุกคนได้ฟังธรรมะมา ก็หลายสิบปี
คิดแก้ไขหรือเปล่า?
หรือว่า คิดที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ทั้งๆ ที่ มีอกุศลอยู่เต็ม?
และอีกตอนหนึ่ง ความว่า
"...เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามแต่ละคน
ซึ่งพบกันมา บางคนก็หลายสิบปี นะคะ
"แก้ไข" อะไรบ้างหรือยัง? หรือว่า "แก้ไข" อะไรบ้างหรือเปล่า?
ความโกรธ ความชัง หรือว่า การที่ ไม่เป็นมิตร
ทุกคนดูเหมือนจะว่า ทำดีไม่ได้ เป็นมิตรไม่ได้
แต่ว่า ตามความเป็นจริง
ใครก็ทำไม่ได้
นอกจาก "ปัญญา" เกิดเมื่อไหร่ "ปัญญา" ก็จะเห็นตามความเป็นจริง ..."
.........
ทั้งหมด เป็นความเมตตาอย่างยิ่ง ของท่านอาจารย์
ที่ได้กล่าวคำ สำหรับทุกบุคคล ที่จะได้เตือนตนเอง ถึงความไม่ประมาท
ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและความทั้งหมดได้ที่ลิงค์ด้านล่าง ครับ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย
ข้าพเจ้าขออนุญาตกล่าวถึงท่านเจ้าภาพอีกท่านหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ารู้จักมานานแล้ว
คือ คุณเสาวณีย์ นามวิชัย หรือ คุณหน่อง ท่านเป็นผู้หนึ่ง ที่ให้ความเป็นมิตรในพระธรรม
แก่ข้าพเจ้า นับแต่เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเข้ามาศึกษาพระธรรมในเวปไซต์แห่งนี้ใหม่ๆ จนบัดนี้
ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์ของท่านอาจารย์ ที่เป็นผู้หญิงเก่งอีกท่านหนึ่ง ที่ควรจะได้บันทึกไว้
คุณหน่องเป็นผู้มีความรู้ทางธรรม และ มั่นคงในการเจริญกุศลทุกประการ
ช่วยเหลือเกื้อกูลมูลนิธิฯ ในการทำงานเบื้องหลังในเวปไซต์แห่งนี้ สม่ำเสมอ ตลอดมา
เป็นอีกท่านหนึ่งในหลายๆ ท่าน (ทุกๆ ท่าน ที่ทำงานช่วยเหลือมูลนิธิฯอยู่ข้างหลัง)
ที่ข้าพเจ้าขอใช้คำว่า เป็นผู้ที่ปิดทองหลังพระ
มีคำที่ได้เปรียบไว้ว่า วันหนึ่งทองที่ปิด (คือความดี) ย่อมล้นออกมาด้านหน้า
กุศลธรรม คือ ความดีทุกประการที่บุคคลสะสมไว้จนมีกำลัง ย่อมให้ผล
ไม่เพียงแก่บุคคลนั้นเอง เท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยให้บุคคลอื่นที่ล่วงรู้ ได้อนุโมทนาอีกด้วย
อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ทราบถึงกุศลศรัทธาของคุณหน่อง ที่มีต่อพระศาสนา
กล่าวคือ เมื่อคุณหน่องมีวันหยุดจากการทำงานที่ต่อเนื่องยาวๆ คุณหน่องมักเดินทางไป
ที่พุทธคยาบ่อยๆ และอยู่ที่นั่นนานๆ แม้ในเวลานี้ คุณหน่องก็อยู่ที่พุทธคยา รอที่จะพบ
กับคณะของท่านอาจารย์ ที่จะไปอินเดียในวันที่ ๑๓ ถึง ๒๓ ตุลาคมนี้
เพื่อที่จะร่วมเจริญกุศลกับคณะของท่านอาจารย์ มีการจัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย
การสนทนาธรรม การถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุจากทุกๆ ชาติ ที่มาแสวงบุญ ณ พุทธคยา
ทั้งการถวายย่าม และ สิ่งของเครื่องใช้แด่พระภิกษุ เป็นต้น
เมื่อได้กล่าวถึงคุณหน่องแล้ว ก็ขออนุญาตลงรูปให้สหายธรรมได้รู้จักคุณหน่องด้วยนะครับ
และ มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ทุกๆ ท่านฟังด้วย กล่าวคือ เมื่อครั้งที่ไปสนทนาธรรม
ที่แม่กลองมารีน่า คราวที่ผ่านมา หลังรับประทานอาหารเสร็จ ข้าพเจ้าเดินตามไป
ถ่ายภาพท่านอาจารย์ ขณะที่ท่านกำลังขึ้นรถกอล์ฟไปที่พัก ท่านอาจารย์ยิ้มและกล่าวว่า
ขออนุโมทนาคุณวันชัยที่ได้ถ่ายภาพสวยๆ คนอ่านคงไม่มัวดูแต่รูปนะคะ
ซึ่งข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่านไปว่า นำภาพไปคั่นข้อความธรรมะ เพื่อไม่ให้ติดกัน
เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ได้พักสายตา และ ค่อยๆ อ่าน ที ละ คำ ที ละ ประโยค ช้าๆ
ซึ่งหลายท่าน พบได้ด้วยตนเองว่า การที่ค่อยๆ อ่าน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ทีละคำ ช้าๆ
จะทำให้เข้าใจ สิ่งที่ได้อ่าน ชัดเจน และ ไม่รีบร้อน ที่จะเพียงอ่านให้ผ่านๆ ไป เท่านั้น
สำหรับผู้ที่ศึกษาธรรม ย่อมรู้ว่า ทั้งการอ่าน และ การฟัง ข้อความเดิมๆ ซ้ำๆ ช้าๆ
เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะในทุกๆ ครั้งที่อ่าน หรือฟัง แม้ว่าข้อความจะเหมือนกัน
แต่ ความเข้าใจ ต่างกัน และความเข้าใจที่มั่นคงนั้น จะฝังอยู่ในใจไม่ลืม
และ จะเป็นที่พึ่งที่มีกำลัง สำหรับทุกบุคคลในภายหน้า ซึ่งจะรู้ได้ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
สำหรับการสนทนาในวันนี้ มีหลากหลายมากครับ ท่านอาจารย์ให้ความเมตตามาก
ข้าพเจ้าขอนำเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่ง มาเพื่อให้ทุกๆ ท่าน ได้รับประโยชน์ตามควรแก่กาล
ซึ่งแม้เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังผ่านหูมาบ้างแล้วก็ตาม แต่เมื่อนำมาถอดความลงกระทู้
ก็ให้เกิดความปีติ ซาบซึ้งใจ ที่ได้พิจารณาข้อความนั้นๆ อีก เป็นประโยชน์มากครับ
ท่านอาจารย์ คุณหมอธงชัย มีคนชวนคุณหมอ
แต่ตอนนี้ คนชวนไม่ฟัง ใช่ไม๊คะ?
คุณหมอธงชัย ใช่ครับ คือ เขาเป็นคนไข้ผมครับ แล้วเขาก็เขียนหนังสือเรื่องธรรมะ
และผมก็บอกว่า คือ ตอนนั้นผมตั้งใจว่า อยากรู้ ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร?
เท่านั้นเอง ไม่ได้ (คิดว่า) ลึกซึ้งขนาดนี้
ผมก็บอกว่า มีใครสอนธรรมะดีๆ บ้าง? ผมอยากจะไปเรียน
เขาก็เอาเทปอาจารย์สุจินต์ มาให้ผม
ท่านอาจารย์ เขาเขียนธรรมะเองด้วย แล้วคุณหมอยังถามว่า มีใครสอนดีๆ (หัวเราะ)
คุณหมอธงชัย ใช่ครับ เขาเอาเทปของอาจารย์สุจินต์ มา ๑๐ ม้วน
ผมก็ได้ฟัง เริ่มอันนั้น แล้วก็มามูลนิธิฯ ซื้อเทป ซื้อซีดี ฟังอยู่ที่บ้าน ๓ ปี ยังไม่ได้มาที่นี่
ฟังอาจารย์อยู่ ๓ ปี ตอนนั้น ยังคิดว่าตัวเองก็รู้เยอะแล้ว สามปีนี่ คิดว่าเก่ง (หัวเราะ)
พอมาเข้ากลุ่ม โอ้โห..ไม่ใช่อย่างนั้นเลย (หัวเราะ) แล้วก็รู้สึกว่า พอฟังมากขึ้น
รู้สึกมีความสุข ในการที่จะฟังธรรมะมากขึ้น และทุกวันนี้ ก็ฟังอยู่ทุกวัน
วันหนึ่ง ไม่น่าจะต่ำกว่าสองชั่วโมงนะครับ ก็ค่อยๆ ฟังไป
แล้วก็จะเข้าใจทีละนิด ทีละน้อยจริงๆ ครับอาจารย์
ท่านอาจารย์ ตอนทำฟัน ไม่ได้ฟังใช่ไม๊คะ?
คุณหมอธงชัย ไม่ได้ฟังครับ แต่ตอนนี้ เริ่มจะเข้าใจ ในความเป็นธรรมะมากขึ้น
แม้แต่เสียง หรือคนไข้ร้อง อะไรพวกนี้ (หัวเราะกันครืน) แต่ว่า ก็น้อยราย
คือ ไม่ได้หมายถึงเขาร้องแบบชนิดที่ว่าทรมานนะครับ ตกใจ ร้องโอ๊ยๆ อะไรอย่างนี้
คุณฟองจันทร์ (พี่แอ๊ว) คุยธรรมะกับคนไข้บ้างไม๊คะ?
คุณหมอธงชัย มีแต่ผมฟังเขาคุยครับ
เพราะว่าส่วนใหญ่ คือ ทุกคน โหนธรรมะ หมดเลยครับ โหนแบบผิดๆ น่ะครับ
แล้วก็บางคน เวลาคุยกัน รู้เลยว่า เขานึกว่าเขาเป็นโสดาบันแล้ว อะไรอย่างนี้ก็มีครับ
แล้วก็ไปแบบ ไกลๆ ทั้งนั้นเลย ส่วนใหญ่ เขาจะสอนผมด้วยความเป็นห่วง ด้วยเจตนาดี
ผมก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว ไม่ได้ถามอะไร
เพราะรู้ว่า ไม่เกิดประโยชน์ ที่จะคุยกัน นอกจากฟังแล้วก็ค่อยทำฟันต่อไป อะไรอย่างนี้
คือ พูดกันไม่ได้เลยครับ ถ้าขืนพูดแล้ว เสร็จแน่นอน ไม่เกิดประโยชน์เลย
แม้แต่เพื่อนบ้านด้วยกัน เราแย๊บนิดหน่อย เขาก็ไม่ฟังแล้วครับ อาจารย์ครับ ไม่ฟัง
เป็นเรื่องที่ เหมือนกับว่า มีชีวิตที่ไม่เหมือนชาวบ้านด้วยซ้ำไป เวลาฟังธรรมะ
พระพุทธเจ้าสอน ไม่เหมือนกับชีวิตประจำวัน (ของชาวบ้าน) ที่เป็นอย่างนี้จริงๆ
เพราะว่า เรื่องธรรมะ ลึกซึ้งมาก ค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งของธรรมะ มากขึ้นครับอาจารย์
แม้แต่การที่ตอนแรกๆ ที่ผมฟัง ผมก็เอ..ทำไมเห็นเป็นคน เห็นเป็นโต๊ะ
เป็นสิ่งที่ แค่นี้ก็ลึกซึ้งแล้ว เพื่อนๆ ผมที่เขาสนใจ ผมก็ซื้อซีดีให้เขาฟัง
ปรากฏว่า ทำท่าเหมือนจะสนใจ แต่ไม่มีสักคนครับ เสร็จแล้ว ไม่มีสักคน
ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้ สนทนากับคุณเบญฯ คุณเบญฯเล่าสิคะ
คุณเบญจมาศ ครั้งแรก ที่ได้พบท่านอาจารย์ที่ชะอำน่ะค่ะ ท่านอาจารย์ก็ถามว่า
คุณเบญฯไปปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอย่างไร? ที่ไปปฏิบัติธรรม ไปแล้วได้อะไร?
ก็เลยตอบไปว่า ไปปฏิบัติธรรม ก็ไปฝึกตัวเอง ให้มีความเป็นอยู่แบบพอเพียง
จุดประสงค์ คือ เข้าใจไปตามนั้น คือ ไปฝึกตน ที่ออกจากบ้านเสียบ้าง
คือ ความสบาย อะไรต่ออะไร ที่เราทำอยู่ทุกวัน ก็อยากจะไปถือศีล
เลยบอกไปว่า ไปเข้าวัด ก็ยังดีกว่าไปที่อื่น ไปเที่ยวผับ เที่ยวบาร์
แล้วท่านอาจารย์ก็พูดตอบมาว่า เผลอๆ แต่ดิฉันพูดเองนะคะ ตรงนี้
แต่ว่า ท่านอาจารย์พูดอีกแบบหนึ่ง แต่ลักษณะนั้น (หัวเราะ)
คือ บอกว่า ไปที่ผับ เผลอๆ ดีกว่าไปที่วัด (หัวเราะ)
ขอโทษค่ะ ก็เลยงง ว่าเรามาเรียนธรรมะกับท่านอาจารย์ ก็บอกว่าเราไปปฏิบัติธรรม
ทำไมท่านอาจารย์บอกว่า ไปผับดีกว่า ไปผับดีกว่า
กราบขอโทษท่านอาจารย์ไว้ตรงนี้นะคะ ตอนนั้นเถียงเลยค่ะ
ขออโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยนะคะ
เอ๊ะ!! ทำไมท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ น่าจะสนับสนุนเรา เราไปวัด น่าจะดี
ท่านอาจารย์ ไม่เหมือนชาวบ้าน ใช่ไหม?
ชาวบ้าน เขาคิดว่า ไปปฏิบัติธรรม ต้องดีกว่าไปผับ
แต่ เขาไม่เห็นอันตราย ที่ใหญ่กว่านั้น
คือว่า ไปผับ ก็แค่ไปด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ธรรมดา
เราอาจจะชอบ อาหารอร่อย แล้วเราก็ชอบบรรยากาศของผับแทน
มันก็คือ ต้องการสิ่งที่เราพอใจ ใช่ไหม?
แต่ถ้าไปปฏิบัติธรรมะ
เราได้ความเห็นผิด ได้ความปฏิบัติที่ผิด ซึ่งเป็นอันตรายกว่า
เพราะฉะนั้น คนส่วนใหญ่ ที่ไม่เข้าใจธรรมะ
เขาอาจจะคิดง่ายๆ ว่า ไปปฏิบัติธรรมะ ดีกว่าไปผับ
แต่ ความจริง ไปปฏิบัติธรรมะ กับ ไปผับ
ไปผับ ดีกว่า เพราะว่า ไม่มีความเห็นผิด
แล้วคุณเบญฯ ก็ยังบอกว่า พอไปผับดีกว่า
คุณเบญฯก็ต่อทันทีเลย ไปผับอาจจะได้ธรรมะ (หัวเราะ) ใช่ไหม?
ซึ่งความจริงจะเห็นได้ ทุกอย่าง ต้องละเอียดมาก
ไม่ใช่ว่า พอคำพูดอย่างนี้มา เราก็เข้าใจตามนั้นเลย ว่า ไปผับ อาจจะได้ธรรมะ
ดิฉันก็เลยถามว่า ได้อะไร?
จะได้อย่างไร?
ถ้าตอบว่า ไปผับ อาจจะได้ธรรมะ จะผิดหรือจะถูก อยู่ที่ "คำ" ที่เราตอบ
ว่าเราตอบ ด้วยความเข้าใจ หรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น ก็ถามคุณเบญฯว่า ที่ว่าไปผับ อาจจะได้ธรรมะ
จะได้อย่างไร?
เห็นไหม?
ทีนี้ คำตอบ มีไหม?
คุณเบญจมาศ คำตอบตรงนั้น ใช่ไม๊คะ? ที่ถามว่า ถ้าไปผับ อาจจะได้ธรรมะกลับมา?
ท่านอาจารย์ จะได้อะไร ที่ผับ?
ทุกคน นะคะ ไม่ใช่แต่เฉพาะคุณเบญฯ
คุณเบญจมาศ (หัวเราะ) ทีนี้มาพูดถึงตรงที่ว่า ท่านอาจารย์บอกว่า เผลอๆ ไปผับดีกว่า
ก็เลยต่อไปเองเลยค่ะ สงสัยจะจริงมั๊งคะ? ไปผับดีกว่า
เพราะว่า อาจจะไปได้ธรรมะที่ผับกลับมา ก็ได้
เพราะว่า ถ้าไปวัด ถ้าเผื่อไปฟังเขาสอนมาผิด ก็จะพลอยให้เราผิดกันไปใหญ่
คือ ตอนนี้ จะคล้อยตามที่อาจารย์พูดออกมา
เพราะธรรมดา เราต้องคิดแล้ว ไปวัด ต้องดีกว่าแน่นอน ไม่ได้ทำผิดอะไร
ไปวัด ไปปฏิบัติธรรม เราก็ไปทำบุญ
แล้วไปผับ ดีอย่างไร? มันไปทางกิเลส ก็บอกไปอย่างนั้น
อาจารย์บอก ผับอาจจะดีกว่าก็ได้ ทีนี้ พอ (ท่านบอกว่า) ดีกว่า ก็เลยคิดไปว่า
สงสัยที่อาจารย์พูด ก็คงจะจริง เพราะไปที่ผับ เผื่อเราจะไปเจออะไร
คนที่เขาอกหักมา หรือ เขาเสียใจ ก็คิดไปไกล
เผลอๆ เราจะได้ไปเรียนรู้ชีวิตของเขามา แล้วมาเปรียบเทียบ
ไปไกลแล้ว
อาจจะดีกว่า เอ...อาจจะไปได้ธรรมะอะไรมา
คิดเองค่ะ "คิดเอง"
อันนี้ ก็เป็นเรื่องของการ "คิดเอง"
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ดีกว่า นี่ ดีกว่าประการเดียว
คือ ไม่มีความเห็นผิดที่ผับ
ที่จะทำให้เราเข้าใจผิดจากความเป็นจริง ใช่ไหม?
แต่ถ้า เราไปปฏิบัติธรรมะ โดยไม่เข้าใจ
เราผิดแล้ว ตั้งแต่ไม่เข้าใจ
จะถูกได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น ข้อเดียว ที่ดีกว่า ก็คือว่า
ไม่มีความเห็นผิด ที่มาให้เราประพฤติ ปฏิบัติตาม
แต่ทีนี้ ถ้าเราคิดว่า เราอาจจะไปได้อะไรที่ผับนี่
ก็อยากจะทราบว่า
ได้อะไร? และ ได้อย่างไร?
มีใครตอบไหม?
ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะ ไปไหน ก็ไม่ได้อะไร
ไม่ใช่ว่า จะต้องเฉพาะไปผับ ไปไหน เหมือนกันหมดเลย
ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม
ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ ก็ไม่มีทางที่จะได้ธรรมะ จากที่นั้นๆ
แต่ว่า เมื่อเข้าใจธรรมะแล้ว อยู่ที่ไหน ก็มีธรรมะ ที่จะให้เข้าใจได้
ใช่ไหม?
ที่ผับ ก็มี "เห็น" ที่นี่ ก็มี "เห็น" ที่วัด ก็มี "เห็น"
ที่ไหนๆ ก็มี "เห็น"
เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง เป็นธรรมะ
แต่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
เมื่อได้ฟังพระธรรมอย่างมั่นคงแล้ว
ไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น
ไปผับ ก็มีธรรมะ
เพราะฉะนั้น (ในพระสูตร) จะเห็นผู้หญิงฟ้อนรำ กลางถนนด้วย
"ปัญญา" เกิดได้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ได้
แต่ "ปัญญา" นะคะ
"ไม่ใช่เรา"
เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ต้องเข้าใจว่า
"ปัญญา" คือ "ความเห็นที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ "
ตรงตามที่ได้ฟัง ได้เข้าใจ อย่างละเอียดขึ้น
แต่ไม่ใช่ "เราคิดเอง"
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการฟังเลย
เราจะ "คิดเอง" ไม่มีทางที่จะคิดได้
แม้แต่ "คำ" แต่ละคำ เช่นคำว่า "ธรรมะ"
ถามคนที่เขาไม่ได้ศึกษาเลย ให้เขาช่วยบอก ว่าธรรมะ คือ อะไร?
เขาก็บอกกันไป คนละอย่าง สองอย่าง
แต่ว่า ทำให้เราเข้าใจ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือเปล่า?
ว่า "ธรรมะ" ในภาษาบาลี ภาษามคธี หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ
แล้ว เดี๋ยวนี้ ก็มีสิ่งที่มีจริง ทุกแห่งมีจริงทั้งหมด เมื่อเกิดมาแล้ว
"เห็น" ก็จริง..."ได้ยิน" ก็จริง..."คิดนึก" ก็จริง...
เพราะฉะนั้น ทั้งหมด เป็นธรรมะ
ซึ่งถ้าไม่ฟัง ไม่มีทางที่จะหาเจอ ที่จะรู้
ก็ไปหากันใหญ่ ว่าธรรมะ อยู่ที่ไหน?
แต่ ที่ไหน ที่ไหน ก็มีธรรมะ ทั้งนั้น!!!
เพราะฉะนั้น ไม่รู้ กับ รู้
๒ อย่าง
ถ้า "รู้" จะอยู่ในคุก จะอยู่ที่ผับ จะอยู่บนรถไฟ บนเครื่องบิน หรือ ที่ไหน
ก็ไม่พ้นจาก "ธรรมะ"
เพราะฉะนั้น สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ โดยไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้เลย
ว่า เราสามารถที่จะ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ จากการฟัง
จนกระทั่ง มีกำลังพอ ที่จะเริ่มเข้าใจธรรมะ
"ตัวธรรมะ" จริงๆ เดี๋ยวนี้!!!
ทั้งหมดที่ (กำลัง) ปรากฏนี้
เป็นธรรมะ ทั้งนั้น!!!
เพราะฉะนั้น เราก็ตอบได้
เป็นคนตรง "สัจจะ"
เข้าใจธรรมะขณะนี้ หรือเปล่า?
เห็นไหม?
นี่คือ การฟังด้วยการ "ไม่เผิน"
ท่านอาจารย์ คุณบำเพ็ญพูดตอนต้น ว่า
ปลายทางของคุณบำเพ็ญ คือ นิพพาน
ใช่ไหม?
คุณป้าบำเพ็ญ ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน น่ะค่ะ
ท่านอาจารย์ ในฐานะพุทธศาสนิก ปลายทาง ก็คือ นิพพาน
เพราะฉะนั้น ถ้านิพพาน คือ ที่ดับกิเลส ไม่มีกิเลสเลย
ปลายทางของชาวพุทธ ก็คือ ไม่มีกิเลส เพื่อที่จะดับกิเลส
ถูกต้องไหม?
แล้วก็ กิเลส มีมากมาย ไม่ใช่เพิ่งมีวันนี้
เพราะฉะนั้น "ทาง" หรือ "การที่จะดับกิเลส"
จะยากไหม?
แล้วก็ จะนานไหม?
แล้วก็ จะไกลไหม?
ถ้าเราคิดถึง ย้อนไปในแสนโกฏิกัปป์
กิเลส สะสมมา เท่าไหร่?
หรือแม้ในชาตินี้
ขณะที่เห็น นับขณะไม่ถ้วนเลย เราเห็นมาตั้งเท่าไหร่? และ เห็นแล้วก็ "ไม่รู้" ด้วย
แล้วพระพุทธองค์ ก็ตรัสถึง อุปาทานขันธ์ ๕
"เห็น" ก็เป็น "หนึ่งขันธ์"
คือ วิญญาณขันธ์
เพราะฉะนั้น ขณะที่ "เห็น" นี้ เป็นที่ตั้งของการยึดมั่น
นี่เป็นพระพุทธพจน์
เพราะฉะนั้น เรายึดมั่นในทุกอย่าง ในชีวิต
เพราะสภาพธรรมะใดที่เกิด สภาพธรรมะนั้น เป็นขันธ์ ทั้งหมดเลย
สภาพธรรมะที่เกิด ที่จะไม่ใช่ขันธ์ ไม่มี
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรเกิด
เพราะ "ไม่รู้" จึงยึดมั่น
ยึดมั่นทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชาติ
แล้ว "ปลายทางของเรา" อยู่ที่ไหน?
ที่จะดับกิเลสเหล่านั้น ทั้งหมด ไม่เหลือเลย
ใช่ไหม?
แล้วถ้าไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เพราะว่า การที่พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระพุทธเจ้าได้
เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมี ด้วยพระปัญญาคุณ
เมื่อตรัสรู้แล้ว
"ทุกคำ" เกิดจากพระปัญญาคุณ
เพราะฉะนั้น "คนฟัง" ก็ต้องมี "ปัญญา" ที่จะเข้าใจ "แต่ละคำ" ด้วย
เพราะเหตุว่า "ทุกคำ" มาจาก "ปัญญา"
คนที่ฟัง "ต้องมีปัญญา" จาก "ทุกคำที่ได้ฟัง"
ถูกต้องไหม?
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ที่เราได้ยิน
เข้าใจแค่ไหน?
ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย
"ปลายทางของเรา" มันจะไกลไปถึงไหน?
ในเมื่อแสนโกฏฺกัปป์มาแล้ว เต็มไปด้วยความไม่รู้ และ การยึดถือ
เพราะฉะนั้น กว่าจะลบ ละ พวกนี้ ดับไปได้หมด
ก็ต้องอีกนานแสนนาน ใช่ไหม?
นั่นเป็นทางที่ไกลมาก
ย่อยลงมา จนถึงใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
จนถึงเดี๋ยวนี้!!!
จากทางที่แสนไกล คือ จิตหนึ่งขณะ เกิดดับ เกิดดับ สืบต่อ กว่าจะถึงไกลอย่างนั้น
มาเป็นแต่ละขณะ เดี๋ยวนี้!!!
ที่ใกล้ที่สุด!!!
มีความเข้าใจ หรือ ยัง?
ถ้าไม่มีความเข้าใจ เราก็เพียงแต่พูดว่า ปลายทางของเรา ก็คือว่า ดับกิเลส
แต่ เรายังไม่มีปัญญา แม้ในขณะเดี๋ยวนี้!!!
แล้วไปอีกนานแสนนาน
กว่าปัญญาที่มีแต่ละขณะ จะสะสม อบรม
ให้มี "กำลัง" พอที่จะละอกุศลที่ได้สะสมมาแล้วมากมาย
จะเป็นไปได้อย่างไร?
มันก็แค่ "คิด"
ใช่ไหม?
มันเป็นจริงไปไม่ได้เลย
แต่ถ้าเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า
"ปัญญา" คือ เดี๋ยวนี้!!
ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจได้ ขณะต่อไป ปัญญา ก็เข้าใจขึ้น
ทีละเล็ก ทีละน้อย
กว่าจะถึงปลายทาง ที่เราหวังว่า เราจะดับกิเลส
ไม่มีกิเลสเลย
เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้ คือ ปัญญา ต้องมี ในขณะนี้!!!
และ จะมาจากไหน?
ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม แต่ละคำ ด้วยความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น
ก็ไม่ใช่หนทางที่จะไปถึงที่นั่นได้เลย
"ทางที่ไปไม่ถึง" นี่เยอะค่ะ
แต่ "ทางที่ไปถึง" นี้
ยาก และ ละเอียด
ลึกซึ้งด้วย!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณฟองจันทร์ วอลช
คุณจิราภรณ์ สินสมุทร คุณอนุทิน กฐินทอง คุณเสาวณีย์ นามวิชัย
และ พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณคุณวันชัย ที่ได้กรุณานำเรื่องราว ภาพ ความทรงจำ ณ กาลครั้งหนึ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพ คุณฟองจันทร์ วอลช
คุณจิราภรณ์ สินสมุทร คุณอนุทิน กฐินทอง คุณเสาวณีย์ นามวิชัย
และ พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง และทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เมตตาให้สิ่งล้ำค่าที่สุด คือ ปัญญา
กราบขอบพระคุณผู้จัดทำและเผยแพร่ที่อนุเคราะห์ให้ผู้ไม่มีโอกาสไปฟังเอง
ได้รับประโยชน์และความเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ
กว่าจะเข้าใจในขั้นการคิดว่าที่ไหนๆ ก็เป็นธรรมะ แสดงว่าไม่โยนิโสมนสิการะ ยากมาก
และลึกซึ้งมาก ถ้าเห็นผิดก็เดินทางผิด ยากที่จะกลับมาเดินทางที่ถูก
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ