การบวชทดแทนคุณบิดามารดาได้ไหม
สังคมไทยมีค่านิยมเรื่องการบวช โดยเข้าใจว่า เป็นการทดแทนคุณบิดามารดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเรื่องการทดแทนคุณบิดามารดา มีการบวชเพื่อแทนคุณบิดามารดาไหมครับ ขอความเข้าใจที่ถูกต้อง ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อกล่าวถึงคำใด ประโยคใด ก็ต้องเข้าใจถึงคำนั้น แต่ละคำอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้เข้าใจ ว่าคำนั้นจริงหรือไม่ครับ บวช คือ อะไร บวชเพื่ออะไร ทำไมต้องบวช
บวช คือ การสละเพศคฤหัสถ์สู่ความเป็นเพศบรรพชิต
บวชเพื่ออะไร การบวชเพราะบุคคลนั้นมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และที่สำคัญ เป็นผู้เห็นโทษ ในการครองเรือนจริงๆ จึงเป็นผู้สละ อาคารบ้านเรือนทั้งหมด ไม่ว่าเงินและทอง ทุกๆ อย่างที่สมควรกับคฤหัสถ์ ดังนั้นการบวช จึงไม่ใช่เพื่อตอบแทนพระคุณมารดา บิดา ไม่ใช่เพื่อว่าบวชแล้วจะเป็นบุญ (บุญอยู่ที่จิตไม่ใช่เครื่องนุ่งห่มที่ใส่) ถ้าบวชหนึ่งครั้งก็ถือว่าประเสริฐ ไม่ใช่เป็นเรื่องประเพณีดังเช่นปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องของปัญญาที่เห็นโทษของกามคุณ โทษของการครองเรือน และมีศรัทธาที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ทั้งพระวินัยและการศึกษาธรรมอย่างแท้จริงเพื่อถึงการดับกิเลส
นี่คือจุดประสงค์ที่ถูกต้องในการบวช ที่กล่าวมาจึงเป็นการแสดงถึงคำถามที่ว่า บวชเพื่ออะไร ทำไมต้องบวชครับ
"การบวชทดแทนพระคุณของมารดาบิดา" ไม่พบในพระไตรปิฎก มีแต่บวชเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่ การบวช คือ อะไร เป็นต้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจ และประการสำคัญที่ควรพิจารณา คือ เป็นคฤหัสถ์ ดำรงตนอยู่ในพระธรรมคำสอน ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง น้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงาม พร้อมทั้งมีการอบรม เจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ก็เป็นคฤหัสถ์ที่ดีได้ (โดยไม่ต้องบวชถือเพศเป็นบรรพชิตก็ได้)
บุญหรือกุศลเกิดขึ้นกับใครก็เป็นบุญของคนนั้น ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็เป็น กุศลของคนนั้น ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ก็ไม่ใช่บุญในขณะนั้น กุศลหรือบุญไม่ใช่การที่อีกคนหนึ่งทำแล้ว คนที่อยู่ใกล้ชิดก็จะได้รับหรือเป็นบุญด้วย ใครทำใครก็ได้ครับ ใครกุศลจิตเกิดก็เป็นบุญของคนนั้น ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า การที่ให้บุตรบวชชื่อว่าเป็นทายาทของพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อบุตรบวชแล้ว บิดามารดาจะได้บุญ หากไม่มีความเข้าใจหรือกุศลจิตไม่เกิดก็ไม่ใช่บุญครับ
ดังนั้น การทดแทนคุณมารดา บิดา สามารถทำได้ ทั้งในเพศคฤหัสถ์และบรรพชิตตามฐานะอันสมควรของเพศนั้น แม้ คฤหัสถ์ ก็สามารถตอบแทนพระคุณมารดา บิดาได้ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใน สิงคาลกสูตร
ดูก่อนบุตรคหบดี มารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า บุตรควรทะนุบำรุง ด้วยสถาน ๕ คือ
๑. ท่านได้เลี้ยงเรามาแล้ว เราจักเลี้ยงดูท่านเหล่านั้น
๒. เราจักทำกิจของท่าน
๓. เราจักดำรงวงศ์ตระกูลไว้
๔. เราจักปฏิบัติตนเป็นผู้รับมรดก
๕. เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว เราจักเพิ่มทักษิณาทานให้
ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ บิดามารดา มีพระคุณกับผู้เป็นบุตรหาประมาณมิได้ ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็กลำบากมากมาย ผู้เป็นบุตร จึงควรตอบแทนพระคุณท่าน เพราะความเป็นผู้รู้คุณ เริ่มจากเดี๋ยวนี้ คือ ดูแลท่าน ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร การช่วยเหลืองานบ้านต่างๆ แทนที่ท่านจะทำ ก็ช่วยแบ่งเบาภาระ ตามความสามารถของตนที่จะมีในเรื่องนั้นครับ
จักรับทำกิจของท่าน สิ่งใดที่เป็นงานของท่าน ทั้งในบ้านและนอกบ้าน คือ การงานของท่าน หากเราพอมีความสามารถ แม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นผู้ยินดี อาสาที่จะช่วยท่าน เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้เป็นบิดามารดา ที่มีภาระมาก และได้เลี้ยงดูเรามาครับ ไม่ใช่ว่าจะทำกิจของตน คือ เรียนหนังสือ หรือ ทำงานของตนเท่านั้น ครับ
จักดำรงวงศ์ตระกูล การดำรงวงศ์ตระกูลของบุตร คือ การประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีรักษาวงศ์ตระกูล เมื่อเป็นคนดี รู้จักสิ่งที่ควรหรือไม่ควร ย่อมรักษาทรัพย์สินเงินทองของบิดามารดา ไม่ทำให้ทรัพย์สินเงินทองของท่านให้พินาศ ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เพราะนั่นเป็นทรัพย์สมบัติของท่านที่หามาได้ด้วยแรงกายแรงใจของท่าน การไม่ตั้งใจเรียน เกเร ก็ย่อมชื่อว่าไม่รักษาวงศ์ตระกูล เมื่อรักษาทรัพย์ได้ รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสม ตั้งใจเรียน ไม่เกเร ก็ชื่อว่ารักษาวงศ์ตระกูลได้ ไม่ทำให้วงศ์ตระกูลเสียหาย ทั้งชื่อเสียงและทรัพย์สินครับ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตนไม่ดี ก็ทำลายวงศ์ตระกุล ทั้งชื่อเสียง คำว่าร้ายจากคนอื่น ที่มีต่อ บิดามารดา และวงศ์ตระกูลเรา
การรักษาวงศ์ตระกูลที่ประเสริฐสูงสุด คือ ให้บิดา มารดา ออกจากวงศ์ คือ อธรรม คือ ความไม่ดี ออกจากอกุศล มีความเห็นผิด ให้ตั้งอยู่ในวงศ์คือ วงศ์ของธรรม วงศ์ของความดี ที่ถูกด้วยการให้ความเข้าใจพระธรรม ชื่อว่า เป็นบุตรที่ดำรงศ์วงศ์ตระกูลไว้ได้อย่างสูงสุดครับ
จักปฏิบัติตน ให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก บุตรที่ทำตัวไม่ดี หรือ ไม่กตัญญูบิดามารดา ก็ไม่ชื่อว่าสมควรรับมรดกจาก บิดามารดา แต่การทำตนเป็นคนดี ตั้งใจเรียน ไม่เกเร รู้จักใช้จ่าย เป็นต้น ชื่อว่าเป็นผู้สมควรรับมรดกจากมารดา บิดา ครับ
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ผู้เป็นบุตรที่ดี คือ ต้องมีความกตัญญู รู้คุณของท่าน ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว เพราะเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็คือ การทำบุญและอุทิศส่วนกุศลไปให้เพราะสัตว์ที่จากโลกนี้ไปแล้ว หากอยู่ในฐานะที่เป็นเปรต อาหารของสัตว์เหล่านั้น คือ การอุทิศส่วนกุศลของเหล่าญาติ ครับ
อย่าลืมให้ของขวัญท่าน ในทุกๆ ทางตามโอกาส เพียงทำให้ท่านแช่มชื่นและรู้ว่าเรายังนึกถึงพระคุณท่าน นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี และดีที่สุด คือ ความดีที่สมบูรณ์แบบ คือ ความดีที่เข้าใจพระธรรม มอบของขวัญให้กับแม่ และสิ่งที่ดีก็จะเกิดกับท่านเอง ไม่ใช่อะไร นั่นคือกุศลจิตที่เกิดในจิตใจ ที่มีความกตัญญู ครับ
ส่วนในพระไตรปิฎกส่วนอื่นก็แสดงถึงพระคุณของมารดา และการตอบแทนคุณของลูกดังนี้
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความจากพระไตรปิฎกได้ที่นี่ครับ
การบำรุงมารดาและบิดา [มาตุโปสกสูตร]
บิดามารดากระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย
มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร [สพรหมสูตร]
พึงปรนนิบัติท่านทั้งสอง [มาตุโปสกสูตร]
มารดาบิดาเสมือนพระอรหันต์ในบ้าน มีความหมายอย่างไร
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลผู้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ว่า คับแคบ (คับแคบด้วยอกุศล คับแคบด้วยกิเลส) มีแต่จะเป็นเครื่องพอกพูนกิเลส ให้หนาแน่นขึ้น แล้วมีความประสงค์ที่จะขัดเกลากิเลสให้ยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ จึงสละทุกสิ่งทุกอย่าง ออกบวช ด้วยความจริงใจ ด้วยความตั้งใจที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ ไม่ใช่บวชด้วยความไม่รู้ ที่สำคัญการบวชไม่ใช่เรื่องง่าย และการยินดีในการบวชก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นเดียวกัน ดังข้อความที่ปรากฏในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องภิกษุวัชชีบุตร ว่า
"บทว่า ทุปฺปพฺพชฺชํ ความว่า ชื่อว่า การละกองแห่งโภคะน้อยก็ตาม มากก็ตามและ ละเครือญาติ แล้วบวชมอบอุระ (ถวายชีวิต) ในศาสนานี้ เป็นการยาก
บทว่า ทุรภิรมํ ความว่า การที่กุลบุตรแม้บวชแล้วอย่างนั้น สืบต่อความเป็นไปแห่งชีวิต ด้วยการเที่ยวไปเพื่อภิกษา ยินดียิ่ง ด้วยสามารถแห่งการคุ้มครองคุณ คือ ศีลอันไม่มีประมาณ และบำเพ็ญข้อปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมให้บริบูรณ์เป็นการยาก"
ดังนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเป็นสำคัญ ถ้าบวชไปแล้วประพฤติผิดประการต่างๆ ล่วงละเมิดสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ เป็นอันตรายมาก มีแต่จะคร่าไปสู่อบายภูมิ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บวช แต่เป็นคฤหัสถ์ผู้ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ และมีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สั่งสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย กล่าวได้ว่า ชีวิตในชาตินี้ย่อมไม่เปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน (ชีวิตของคฤหัสถ์ สามารถดูแลตอบแทนพระคุณมารดาบิดา ได้อย่างเต็มที่ สะดวก ทุกเวลา ไม่มีอะไรมากั้นเลยครับ)
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ทดแทนคุณพ่อแม่เลี้ยงดูท่านตอนท่านชรา พ่อแม่ไม่มีศรัทธาก็ให้ตั้งอยู่ในศรัทธา เป็นคนดีศึกษาพระธรรม ที่สำคัญยุคนี้สมัยนี้บวชยาก ถ้าไม่รู้พระวินัยก็มีแต่อาบัติและมีโทษมาก เพราะส่วนมากบวชแล้วไม่รักษาพระวินัยก็ไปสู่อบายภูมิเป็นส่วนใหญ่ ค่ะ
คนที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นกิเลสของตัวเองและไม่ได้สะสมอุปนิสัยในการสละเพศคฤหัสถ์ แล้วบวช นั้น ไม่ใช่ผู้ที่จริงใจและไม่ใช่ผู้ตรง เพราะถามว่าบวชทำไม ถ้าตอบว่าเพราะเหตุนั้นๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้เข้าใจพระธรรมและรู้อัธยาศัยของตนเองว่าเพื่อศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสในเพศภิกษุตามพระธรรมวินัยแล้ว สมควรบวชไหม การบวชเป็นภิกษุไม่ใช่เป็นอยู่อย่างสบายให้ผู้คนกราบไหว้ แต่เพราะเป็นผู้ที่เห็นกิเลสและเห็นโทษของกิเลส และรู้ว่าหนทางเดียวที่จะขัดเกลากิเลสก็ด้วยความเข้าใจพระธรรมจึงบวชเพื่อศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ ฉะนั้น การดำรงชีวิตของคฤหัสถ์และบรรพชิตจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อ่านเพิ่มเติม