ชวนกันไปทำบุญ แต่ไม่เข้าใจบุญ
ทุกวันนี้ มีแต่คนชวนกันไปทำบุญ แต่ไม่ได้ให้เข้าใจบุญเลย ทำบุญด้วยความเป็นเรา กับทำบุญทำกุศลเลย ให้สิ่งของเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น แม้ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจขณะนั้นเป็นบุญแล้ว โดยไม่ได้คิดว่าจะไปทำบุญ จะไปให้ทาน จะไปฟังธรรม จะไปปฏิบัติธรรม ทั้งหมดก็ยังเป็นเรา แต่บุญคือกุศลธรรม ไม่ใช่เรา ต้องเข้าใจจริงๆ จัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย ขณะนั้นเป็นบุญสำเร็จแล้ว ไม้ต้องมาคิดว่าเราจะจัดดอกไม้เราจะทำบุญ นั่นก็ยังเป็นเรา อยากทำบุญ แต่ไม่เข้าใจบุญ ต้องไม่ลืมว่า บุญเป็นธรรม เป็นกุศลธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ว่าพระสูตรไหน กล่าวโดยความเป็นสัตว์ บุคคล ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงธรรม เช่นกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
" บัณฑิต ทำบุญอยู่ ย่อมเต็มไปด้วยบุญ โดยลำดับแน่แท้ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดปาก ย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น "
ไม่มีใครทำบุญ มีแต่สภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เรา มีเพียงพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ชี้หนทางอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกความเป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา พระธรรมแต่ละคำมีค่ายิ่ง ควรพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ให้ตรงตามความเป็นจริง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ว่า ไม่ใช่เรา ขณะนี้เริ่มเข้าใจว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงลักษณะสภาพธรรม จึงต้องอาศัยการฟังจนกว่าจะเป็นธรรมทั้งหมด เพราะความเข้าใจถูกจะค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น แม้ขณะที่กำลังให้ ก็ไม่ใช่เรา ถ้ายังเป็นเราที่ให้ ก็ไม่ใช่การอบรมบารมี ขณะฟังเข้าใจขึ้นๆ ก็เก็บสะสมไว้ ให้ทานก็เป็นกุศลเก็บสะสมไว้ เกิดมาเก็บกุศลไว้ ไม่ใช่เก็นสะสมอกุศลไว้
แม้แต่การเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผลของ บุญ ใครหนอพามาสู่โลกนี้? ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย กุศลที่ทำไว้แล้วพามาสู่โลกนี้ ผู้ทำบุญโดยไม่เข้าใจธรรม ก็ยังเป็นเขาที่ทำบุญ ก็ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เกิดแล้วเกิดอีกเป็นอย่างนี้ เพราะบุญที่ทำไม่ได้ชำระอัตตาตัวตนนี้เลย เพราะฉะนั้นการทำบุญที่ชำระจิตออกจากความไม่รู้ ออกจากกิเลสทั้งปวง ก็ต้องมาจากความเข้าใจถูกเห็นถูก รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา การอบรมจิตที่จะรู้ว่า ชีวิตประจำวันนั้นอกุศลจิตเกิดมาก ปกติเป็นอกุศลศีล อบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัจจัยให้การกระทำที่เป็นไปทางกาย วาจาก็เป็นกุศลมากขึ้น เป็นกุศลศีลแทนปกติเป็นอกุศลศีล จนกว่าจะไม่เป็นกุศลศีล และอกุศลศีล นั่นคืออัพยากตศีล ความเป็นพระอรหันต์
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ..
ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นเรื่องของการละ สละความเป็นตัวตน จนค่อยๆ หมดไป ไม่ใช่เรื่องของการได้บุญ ได้กุศล ขั้นการฟังก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละนิด ขณะนั้นเป็นกุศลแล้วเพราะไม่จงใจ หรืออยากเกิดบนสวรรค์ หรือเป็นพระอริยบุคคลในทันทีที่ฟังจบ ยกตัวอย่างว่าละชั่ว ยังกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ หากเข้าใจจริงๆ ขณะที่คิดจะไม่เบียดเบียนใครๆ หากสติระลึกได้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมะที่ทำกิจของเขา จะไม่มีกาย วาจา ออกมาเป็นว่าหรือทำร้ายจิตอื่นๆ ขณะนั้นเป็นการเจริญกุศลแล้ว และขณะนั้นจิตผ่องใส หากสติเกิดก็รู้ว่าเป็นธรรมะ อนัตตา ก็ค่อยๆ สะสมไปเช่นนี้แล้วแต่เหตุปัจจัย ปกติ ในแต่ละขณะไป เพราะจิตเกิดดับเร็วมาก
สาธุ