จะอธิบายสภาพที่คนเป็นเห็นคนตายอย่างไรคะ

 
นิ้ง
วันที่  16 เม.ย. 2558
หมายเลข  26453
อ่าน  2,271

ตามสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา คนที่ตายไปแล้วจะเป็นผี หรือ บางคนที่ไม่ถึงเวลาตายจริงๆ วิญญาณ ก็จะไม่ไปไหน ปรากฏให้คนในครอบครัวเห็น บ้างก็เรียกวิญญาณเหล่านี้ว่า สัมภเวสี ซึ่งแปลว่า ผู้แสวงหาที่เกิด เช่นนี้ดูขัดแย้งกับความคิดที่ว่า การเกิดดับของจิตไม่มีที่คั่นระหว่าง..และการปฏิสนธิของจิตใหม่นั้นจะไปที่ไหน แล้วแต่ว่าเป็นผลของกรรมใดที่ทำให้เกิดในภพภูมิใด สรุปแล้ว การที่หลายๆ กล่าวว่าเห็นวิญญาณมาปรากฏให้เห็นนั้น เป็นความเข้าใจผิด หรือ สร้างภาพที่เกิดจากความปรารถนาลึกๆ ภายในจิตใจหรือเปล่าคะ

ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอยที่เป็นผี ตามที่่เข้าใจกัน แต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่า วิญญาณ คือ จิตนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงวิญญาณก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต วิญญาณ หรือ จิตจึงมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน

ดังนั้นเมื่อวิญญาณหรือจิตเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่น จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นคือ สี เป็นต้น วิญญาณจึงไม่ได้หมายถึง ผี ตามที่เข้าใจกันครับ แต่วิญญาณหมายถึง สภาพธรรมที่เป็นจิต มีลักษณะเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ครับ

หากเป็นสัจจะความจริงก็จะเข้าใจขึ้น และไม่เข้าใจผิดในคำว่าผีตามภาษาไทยและความเข้าใจเดิมครับ สัตว์โลกมีภพภูมิมากมาย ตามอำนาจของกรรม และมีความหลากหลาย และความวิจิตรของสภาพธรรม ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องเตือนและเข้าใจความจริงในสิ่งที่รู้ และทราบในชีวิตประจำวันครับ

คำว่า ผี ความเข้าใจส่วนใหญ่ ก็เข้าใจกันว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้วและก็เป็นวิญญาณล่องลอยและปรากฎให้เห็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจธรรมแล้ว เมื่อตายแล้ว คือจุติจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิต (การเกิด) เกิดต่อเปลี่ยนภพภูมิทันที ไม่ใช่ว่าจะต้องมีวิญญาณล่องลอยที่จะคอยหาที่เกิดเป็นผีครับ ตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรมที่จะให้ผลครับ หากเกิดเป็นสัตว์ก็คงไม่เรียกว่าผี หากเกิดเป็นมนุษย์ก็คงไม่เรียกว่าผี แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาซึ่งเทวดาก็สามารถปรากฏให้เห็นได้ ใช่ผีหรือเปล่า ซึ่งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แบ่งภพภูมิเป็นหลายภพภูมิ ทั้งมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน เปรต เทวดา เป็นต้น ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทวดา เปรต ก็เรียกว่าอมนุษย์ครับ

ส่วนในบางกรณีสำหรับการที่บางบุคคลพบกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ยังมาให้เจออีก ประเด็นนี้เราควรมีความเข้าใจถูกครับว่าที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ยังอยู่ให้เห็นก็เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญ เพราะเปรต อาหารที่เขาจะได้รับคือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฏให้เห็น เพื่อบุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันทีครับ ผู้ที่เกิดเป็นเปรตต้องการส่วนบุญจึงปรากฏให้เห็น ซึ่งในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลก็มีบางบุคคลเจอบุคคลที่ตายแล้ว เพื่อมาขอส่วนบุญกับบุคคลที่เจอโดยให้คนที่มีชีวิตอยู่อุทิศกุศลที่ทำไปแล้วไปให้เปรตได้รับรู้และอนุโมทนาครับ

ที่สำคัญที่สุด ในสัจจะ ธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงที่สัตว์โลกยึดถือด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีผีมีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ในความจริงแล้ว สัจจะที่เป็นอริยสัจจะ พระองค์ทรงแสดงว่ามีแต่สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป หากไม่มีสภาพธรรม ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย จะมีสัตว์ บุคคล หรือแม้แต่ผีที่เป็นเปรต จะมีได้ไหม มีไม่ได้เลยครับ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมคือการเพิกถอนความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลหรือมีผี ทั้งๆ ที่ความจริงมีแต่สภาพธรรมเท่านั้นในขณะนี้ที่คิดนึก เมื่อเราเข้าใจความจริงอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้สามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้เพราะเป็นสัจจะ เข้าใจตามสัจจะที่พระองค์ทรงแสดง ผีมีเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินและไม่มีคิดนึก ผีจะมีได้ไหมครับ ดังนั้น เรากลัวอะไรนอกจากกลัวความคิดนึกของเราเองหลังจากเห็นและได้ยิน เพราะความจริงมีแต่สภาพธรรมครับ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย ปัญญายังไม่มากพอก็ยังกลัวเพราะความไม่รู้และกิเลสที่สะสมมา ขออนุโมทนาครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

ผีเร่ร่อน,วิญญาณพเนจร หรือสัมภเวสี มีจริงไม๊และอยู่ในภพภูมิใดครับ...

ผีมีจริงหรือไม่

แต่เดิมก่อนศึกษาคิดว่า วิญญาณ คือ ผี

ผีบ้านผีเรือนมีในพระสูตรด้วยหรือเปล่าค่ะ

ผี คือ อะไร

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม...ทำไมยังกลัวผี

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 16 เม.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ต้องมั่นคงในความเป็นจริงว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการเกิดอยู่ แต่ว่าจะเกิดเป็นอะไรหลังจากที่สิ้นชีวิตไปแล้วนั้น ก็เป็นไปตามกรรม ถ้ากรรมดีให้ผลนำเกิด ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย หรือ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ตามควรแก่อกุศลกรรม ความจริงเป็นอย่างนี้ ที่เกิดในภพต่างๆ นั้น ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั้นเอง กล่าวคือ จิต เจตสิก รูป ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้น เมื่อสิ้นชีวิต ละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก แต่จะเกิดเป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ ตามกรรม ตัวอย่างเช่น ทาสี ท่านหนึ่ง ได้ถวายน้ำแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามข้อความจากตติยนาวาวิมาน) ภายหลังได้ลงมาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ฟังสัจจธรรม นางก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน, ในชาติที่เป็นทาสี ก็เป็นชาติหนึ่ง ในชาติที่เป็นเทพธิดา ก็เป็นอีกชาติหนึ่ง ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความจากพระไตรปิฎกได้ที่นี่ครับ

นาวาวิมาน [ตติยนาวาวิมาน]

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 16 เม.ย. 2558

คนตาย ตายแล้วเกิดทันที แล้วแต่กรรมใดจะให้ผลไปเกิดที่ไหน ที่ว่าตายแล้วมาให้เห็น ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เช่น บุตรเศรษฐีคนหนึ่งชื่อมัฏฐกุณฑลี ก่อนตายมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็ไปเกิดในสุคติเป็นเทพบุตร เห็นบิดาเศร้าโศกถึงตนก็มาหาทำให้บิดาหายเศร้าโศก ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 16 เม.ย. 2558

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอย่างยิ่ง ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 17 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 17 เม.ย. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jarunee.A
วันที่ 2 ธ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ธ.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ