ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๓ มหินตาเล-อนุราธปุระ]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  7 พ.ย. 2558
หมายเลข  27189
อ่าน  2,181

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาในวันแรกของการเดินทางมายังเมือง Habarana หลังจากที่ได้เดินทางมาจากกรุงโคลอมโบเมื่อวานนี้ และได้ไปชมอุทยานเมืองเก่า โปโลนนารูวา ซึ่งมีประวัติศาสตร์ก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นต้นแบบของอารยธรรมสมัยสุโขทัย ท่านสามารถชมภาพและเรื่องตามกระทู้นี้ครับ...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๒ โปลอนนารูวา]

หลังจากนั้นได้เดินทางเข้าเช็คอินที่โรงแรม Aliya Resort แห่งนี้ในตอนค่ำมืด ทั้งยังมีฝนตกปรอยๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ต่างๆ ในรีสอร์ทแห่งนี้ได้ นอกจากความใหญ่โตของห้องพักและห้องน้ำ ซึ่งดูอลังการ ในไสตล์รีสอร์ท ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่า ศรีลังกา ที่มีสภาพเป็นเกาะ มีเนื้อไม่มาก แต่มีรีสอร์ทที่ใหญ่โต มีพื้นที่พักผ่อนต่อหน่วยกว้างขวางไม่ใช่น้อยๆ เลย

เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ภาพของรีสอร์ทก็ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความกว้างขวาง ร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน และเมื่อเดินออกจากห้องพัก ซึ่งมีลักษณะสองชั้น หน่วยละสี่ถึงหกห้อง ถ้าจำไม่ผิด ตั้งอยู่ในระยะไม่ห่างกันมาก เป็นแนวไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ดูไม่แออัด ห้องพักของข้าพเจ้าอยู่ชั้นบน โปร่งสบายดีมากครับ

เดินจากที่พักมาสู่ที่รับประทานอาหารเช้าที่อาคารหลัก ที่เป็นทั้งแผนกต้อนรับ ห้องรับประทานอาหาร และ ห้องประชุม ก็ได้พบกับภาพที่ตระการตา ตระการใจ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน กล่าวคือ ได้เห็นภาพของทิวทัศน์ที่กว้างไกลสุดสายตา บริเวณหน้าห้องโถงแผนกต้อนรับ และ ที่รับประทานอาหารเช้า

ไกลออกไปสุดสายตา มองเห็นภูเขาสิกิริยา (พระราชวังบนยอดเขา) อันลือชื่อที่พวกเราจะไปชมในวันพรุ่งนี้ ตั้งตระหง่านอยู่ลิบๆ เป็นภาพงดงามเหนือคำบรรยายใด เพราะบุญที่เคยกระทำไว้แต่ปางก่อนโดยแท้ ที่ให้ได้มีโอกาสเห็นภาพความงดงามเช่นนี้ โดยไม่รอช้า ในขณะที่ทุกท่านกำลังสาละวนอยู่กับมื้ออาหารเช้า ข้าพเจ้ากลับสอดส่ายสายตาหาเหยื่อที่เดินผ่านไปมา เพื่อขอให้มาเป็นองค์ประกอบภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ ทั้งที่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ก็เป็นเพียงแค่คิด และแม้แต่จะคิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ความคิดเช่นนั้นก็อาจไม่เกิดขึ้นเลยในขณะนั้นก็เป็นได้ เพราะกำลังเป็นไปกับความติดข้องและความอยากที่จะบันทึกภาพแห่งความทรงจำนี้ไว้ ก่อนที่จะได้ลืมเลือนไปในเวลาเพียงไม่นานจากที่ได้เห็น ซึ่งถ้าไม่ได้บันทึกภาพต่างๆ ณ เวลานั้นไว้ แม้จะบรรยายด้วยคำพูดสักเท่าใดในขณะนี้ ก็เข้าใจว่าไม่มีทางจะได้เห็นแม้เพียงใกล้เคียงเหมือนอย่างที่เคยเห็นจริงๆ ในขณะนั้นเลย แม้ท่านอาจารย์จะกล่าวคำจริงให้ได้ฟังบ่อยๆ ว่า "เห็นเพื่อลืม" ก็ยังชอบที่จะได้เห็นอยู่ดี

"...กว่าจะละคลายความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องเข้าใจจริงๆ แม้ขณะนี้ที่กำลังเห็นว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วเติมคำต่อไปอีกว่า “เพื่อลืม” ก็ยิ่งไม่ต้องติดข้อง จะเห็นอะไรก็ตามแต่ จะไปเที่ยวที่ไหน เห็นอะไรก็ตามแต่ เพชรนิลจินดามากมาย สถานที่ต่างๆ "เพื่อลืม" แล้วจะเห็นทำไม? แต่ต้องเห็น เห็นไหมว่า นี่คือ ธรรมะ..."

(คัดจากเมนู ธรรมเตือนใจ คลิกฟังได้ที่นี่... เห็นเพื่อลืม)

เมื่อเริ่มมีความเข้าใจจากการฟังที่มั่นคงขึ้น ย่อมเป็นผู้ที่มีปกติน้อมไปสู่การอบรมเจริญความเข้าใจและเจริญสติ เป็นปกติ เป็นธรรมดา ในชีวิตประจำวัน ผู้ศึกษาธรรมที่มีความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ย่อมไม่ไปทำในสิ่งที่ผิดปกติ ด้วยความจดจ้อง ด้วยความต้องการ ที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะ ซึ่งขณะนี้เกิดแล้ว เป็นปกติ แต่ไม่รู้ และหากจะมีความรู้เกิดขึ้นรู้ ความรู้นั้นก็ต้องเกิดขึ้นเองเป็นปกติ ด้วยความเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใดเลย ที่จะไปทำให้เกิดการรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วยความเป็นตัวตนย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมทั้งหลายที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นในขณะนี้ ทรงแสดงแล้วว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไปโดยรวดเร็ว และ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในแต่ละขณะๆ นี้ จึงไม่ใช่สิ่งที่เคยเกิดมาก่อน แต่เป็นสิ่งใหม่ ของใหม่ ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยใหม่ ในทุกๆ ขณะ และ ที่กล่าวว่าเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติ เจริญความเข้าใจนั้น ความจริงก็หาได้มีใครหรือผู้ใดไปกระทำอาการใดๆ เพื่ออบรมเจริญให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น แต่หมายความถึงธรรมหรือความเข้าใจนั้นเองที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นอนัตตา เพราะเหตุปัจจัยจากการได้ฟังพระธรรมที่มั่นคงขึ้น นั่นเอง เพราะเหตุว่า หากไม่มีการได้ฟังความจริงที่ถูกต้อง ความคิด ความพิจารณารู้ในสิ่งที่ถูกต้องจะมาจากที่ไหน?

เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคงขึ้น จากการฟัง การศึกษาพระธรรม จึงเป็นบุคคลที่มีชีวิตที่เป็นปกติ อยู่ในโลกของ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ ด้วยความเป็นปกติด้วยความเข้าใจนั้นเอง ไม่ไปทำสิ่งใดที่ผิดปกติเลย ดังได้กล่าวแล้ว ความเข้าใจหรือปัญญาที่มั่นคงขึ้นจากการฟัง ย่อมยังบุคคลนั้นให้ถึงซึ่งความอาจหาญ ร่าเริง เพราะรู้ว่าทุกสิ่ง ทุกขณะที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นแต่ธรรม ไม่ใช่เรา และเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ปัญญาหรือความเข้าใจที่จะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องมาจากการฟังและพิจารณาพระธรรมเท่านั้น ไม่มีหนทางอื่นอย่างที่คนไม่ได้สดับพระธรรมที่ถูกต้องคิดว่ามีหนทางนั้น มีหนทางนี้ ไปนั่ง ไปเดิน จดจ้อง ต้องการ ด้วยความเป็นตัวตน ย่อมไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้เลย แน่นอน เพราะเหตุว่าความจริงที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีหนทางเดียว คือ ทางของปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกต้อง ในการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เท่านั้น และไม่ใช่ด้วยการ "ทำ" แต่ด้วยการ "ฟังและเข้าใจพระธรรม" ที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้

ขอเชิญพิจารณาข้อความบางตอนจากกระทู้ "ก่อนจะถึง...สติ-ปัฏฐาน!" (อ่านดีมากๆ ครับ)

ผู้ฟัง หมายความว่า การศึกษาพระธรรม ยังไม่มากพอที่จะเป็นปัจจัยให้สติระลึกสติก็ยังไม่ระลึก.? แล้วถ้าหากว่า สติยังระลึกไม่ได้ ก็ให้ศึกษาพระธรรมต่อไป เพื่อให้เกิด ความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ มีทางเดียวเท่านั้น.?

ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟัง ศึกษาพระธรรม เพื่ออะไร?? เพื่อละ ความไม่รู้.....หรือ เพื่อที่จะ ระลึก.???

ผู้ฟัง เพื่อละ ความไม่รู้ ค่ะ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อฟังพระธรรม จนกระทั่งเกิด "ความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ " สติจะไม่ระลึกนั้น...มีหรือ? แต่ถ้าฟังพระธรรมแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วจะไประลึก นั้น....ถูกไหม.? ถ้าฟังพระธรรมแล้วยังไม่เข้าใจ...ก็ควรที่จะฟังให้เข้าใจขึ้นๆ ขณะที่กำลังเข้าใจขึ้นๆ นั้น คือ "การระลึก" เกิดแล้ว เพียงแต่ ไม่รู้ ว่า "สภาพธรรมที่มีลักษณะ-ระลึก" เกิดแล้ว.!ซึ่ง ใช้ คำ เรียกว่า "สติ" แต่ ขณะที่กำลังฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ไม่ใช่ ขณะที่กำลัง ระลึก รู้ ตรงลักษณะของสภาพธรรม เพียงแต่ รู้เรื่องของธรรมะ และ เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่ได้ฟัง นี่เป็น "สติ" ขั้นแรก จนกว่า ความเข้าใจ จากการฟังพระธรรม จะมั่นคงจริงๆ จนกระทั่ง สติ-ขั้นระลึก รู้ ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิด-ปรากฏ ซึ่งเป็น "สิ่งที่มีจริงๆ " ขณะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้น...มีจริงอย่างไร.!!!

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง และ กำลังมี ในขณะนี้ด้วย.!!! แสดงให้เห็นว่า "ความเข้าใจ" แต่ละระดับ จะมาก หรือ น้อย แค่ไหน ก็ต้องมาจาก "การสะสม" และ "ความเข้าใจ" คือ สะสม-ความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ทีละเล็ก ทีละน้อย.

(ภาพรูปปั้นของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ และ ยอดพระมหาเสยเจดีย์ เอื้อเฟื้อโดยคุณนภา จันทรางศุ - กราบอนุโมทนาครับ)

การบันทึกภาพและการเดินทางของคณะฯในวันนี้ จะแบ่งออกเป็นสองกระทู้ เนื่องจากเป็นการเดินทางไปในแต่ละสถานที่ ซึ่งมีความสำคัญในทางพระพุทธศาสนาของประเทศศรีลังกาทั้งสิ้น โดยกระทู้นี้จะเป็นการบันทึกภาพและกิจกรรมของคณะฯ ที่เดินทางไปยัง มหินตาเล พระเจดีย์ถูปาราม และ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งการเดินทางเข้าสู่สถานที่สำคัญๆ ในครั้งนี้ มีการแห่นำขบวนด้วยดนตรีปี่กลองประโคมอย่างอลังการ เป็นที่ประทับใจและเกื้อกูลแก่การน้อมไปในกุศลศรัทธาที่ปีติซาบซ่านยิ่ง ครับ

สถานที่แรกที่ไป คือ มหินตาเล เป็นสถานที่สำคัญสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศศรีลังกา ตามประวัติโดยย่อมีว่า หลังการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ณ วัดอโศการาม แขวงเมืองปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย ในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว พระองค์ได้ส่งพระธรรมทูตไปเผยแพร่พระพุทธศาสนามากที่สุดถึง ๙ สายด้วยกัน ในสายที่ ๘ ได้ส่งพระโสณะ พระอัตตระไปยังแคว้นสุวรรณภูมิ (นครปฐม) สายที่ ๙ ได้ส่งพระราชโอรสของพระองค์ ที่เป็นพระอรหันต์ คือ ท่านพระมหินทเถระ พร้อมด้วยบริวาร เดินทางมาจากเมืองปาฏลีบุตร โดยการเหาะมาลงยังยอดเขาหินสูงหัวโล้นก้อนใหญ่ที่สูงชัน โดยปรากฏแก่สายตาของพระเจ้าเทวนัมปิยติสสะ กษัตริย์ผู้ครองประเทศศรีลังกาในขณะนั้น ได้ทรงเห็นถึงปาฏิหาริย์ เพื่อถึงการเลื่อมใส มีการสร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุของพระมหินทเถระไว้ ๒ องค์ โดยครั้งนี้ ทางคณะฯได้ร่วมกันน้อมบูชาด้วยการถวายผ้าห่มเจดีย์องค์เก่า ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับพระมหาเสยเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (พระนลาฏ-กระดูกส่วนหน้าผาก) ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บนยอดเขา

หลังจากที่ได้ร่วมกันถวายผ้าห่มเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระมหินทเถระเสร็จแล้ว ทางคณะฯได้เดินทางไปกราบสักการะและถวายผ้าห่มพระเจดีย์ถูปาราม ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่สำคัญที่สุดในประเทศศรีลังกา กล่าวคือ เป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้า) ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นเจดีย์องค์แรกทางพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา สร้างโดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ในราวปีพุทธศักราช ๓๐๐ จากนั้นในตอนบ่าย ท่านอาจารย์พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยกระทู้นี้ก็จะจบลงด้วยภาพการเดินทางไปเจริญกุศลที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งนี้ สำหรับการเดินทางไปเจริญกุศล ณ พระมหาเจดีย์รุวันเวลิสยะ ในบ่ายของวันนี้เช่นกันนั้น จะได้นำเสนอเป็นอีกกระทู้หนึ่งต่างหาก ครับ

อันดับต่อไปนี้ ก็จะขออนุญาตนำเสนอภาพกิจกรรมของคณะฯทั้งหมด ในวันนี้ ณ มหินตาเล พระเจดีย์ถูปาราม และ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ดังได้กราบเรียนแล้วข้างต้น โดยจะขอนำความการสนทนาธรรมในตอนเช้าของวันนี้ ที่ท่านอาจารย์และคณะฯบางส่วนอยู่สนทนาธรรมที่โรงแรม Aliya Resort ซึ่งเป็นตอนต่อเนื่องมาจากการสนทนาที่ได้นำเสนอแล้วในสองกระทู้แรก โดยในตอนนี้ ท่านสนทนากันต่อในเรื่องของความคิดของบุคคลที่ไม่เข้าใจธรรมะ ที่เข้าใจว่า "เลือกได้" ส่วนที่ว่า จะเลือกอะไรได้ หรือ ไม่ได้ประการใด ขอเชิญพิจารณาข้อความการสนทนาที่ได้ยกมาประกอบกับภาพและวีดีโอสั้นๆ ที่ได้บันทึกมาให้เห็นบรรยากาศของการเดินทางไปเจริญกุศลของชาวคณะ ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ในครั้งนี้ นะครับ

อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะว่าอยู่ด้วยความเป็นเรา ที่คิดว่าเลือกได้ คิดแบบไม่รู้ว่าเลือกได้ ก็คิดว่า เดี๋ยวเราจะเลือกอะไร เมื่อกี้นี้ พี่แอ๊วก็ประเด็นดีนะครับว่า จะไปมหินทะเล หรือ จะอยู่สนทนาธรรมะ เราก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ ก็เหมือนกับเลือก หรือว่า ในชีวิตประจำวัน รับประทานอาหารเมื่อเช้า อาหารเยอะครับท่านอาจารย์ เลือกดู หลายอย่าง

ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วถ้าไม่มีขา ไปมหินทะเลได้ไหม?

อ.อรรณพ (หัวเราะ) เพราะมีเหตุปัจจัยให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น อยู่กับความเป็นเรา แล้วก็เป็นตัวตนที่คิดว่าเราจะเลือกโน่น เลือกนี่ได้ แล้วพอมีเหตุปัจจัยที่เป็นไปในทางที่ไม่ปรารถนา ก็เกิดความเดือดร้อน

ท่านอาจารย์ อย่างนี้ดีกว่า ดูสิได้ไหม? เลือกเป็นคนดี เลือกไม่มีกิเลส เลือกได้ไหม? เลือกเป็นคนดี เลือกทำความดี เลือกไม่มีกิเลสเลย เลือกได้ไหม?

อ.อรรณพ คงอยากเลือกกันนะครับ (หัวเราะ) แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้!!!

ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย!!! ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย!!!

อ.อรรณพ เลือกเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ ก็ไม่ได้

ท่านอาจารย์ ค่ะ เลือกได้ไหม?

อ.อรรณพ ไม่อยู่ในฐานะทันทีอย่างนั้น

(เจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของท่านพระมหินทเถระ)

คุณฟองจันทร์ ท่านอาจารย์คะ ในส่วนที่หนูเลือก ตัดสินใจที่จะมาฟังธรรม แทนที่จะไปที่โน่นนี่ มันมีส่วนเกี่ยวข้องของการสะสมมาแต่ชาติปางก่อนไหม? ที่ว่าเราจะต้องฟังธรรม หรือว่าเราจะต้องทำอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ จะต้องมีการสะสม นอกจากเหตุปัจจัยแล้วจะต้องมีเรื่องของการสะสมมาเกี่ยวข้องด้วย ใช่ไหมคะ?

ท่านอาจารย์ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า ไม่มีเราแต่มีจิต มีเจตสิก เห็นไหม? ลึกลงไปอีกแล้ว แล้วก็จิต เจตสิก ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นผลของกุศล อกุศล ก็มี ที่ไม่ใช่ผลของกุศล และ อกุศล ก็มี นั่นคือความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า ฟังแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าเราเข้าใจธรรมะ เพียงแต่ว่า เหมือนเด็กแรกเกิด กว่าจะสามารถพูดได้ ฟังได้ รู้เรื่อง เข้าใจได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลา ถึงจะไม่ประมาทในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะส่วนใหญ่ คำถามจะมาแบบ เหมือนกับว่า ตอบได้ เสร็จแล้ว จบแล้ว ใช่ไหม? แต่เห็นไหม ถ้าหยั่งลงไปก็ลึกขึ้นว่า จิตประเภทไหน? และจิตที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ต่างกับจิตที่คิดแล้ว นี่ก็ลึกซึ้งไปทุกขณะจิต ซึ่งเร็วสุดที่จะประมาณได้ ขอเชิญคุณนิภัทรค่ะ

อ.นิภัทร เลือกไม่ได้ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิด เขาก็เกิดตามเหตุตามปัจจัยของเขา ที่จะเลือกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่เราอยากให้เป็น ถ้าเป็นไปได้ ก็ต้องเป็นนิจจัง (เที่ยง) แต่มันไม่มี นิจจัง สุขัง มีแต่พระนิพพาน พระนิพพานเป็นสุข และ เป็นนิจจัง เที่ยง สุขัง เป็นสุข อนัตตา เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน นี้เป็นลักษณะของพระนิพพาน

แต่สังขตธรรม คือ รูปธรรม นามธรรม ก็ต้องเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง และ เป็นทุกขัง ทุกข์ แล้วก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน อนัตตานี่เป็นทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม เป็นทั้งของที่เปลี่ยนแปลงได้และของที่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่เป็นธรรมดา

ก่อนอื่น ทุกคนก็ต้องหันมาศึกษาตัวเราให้เข้าใจ ว่ามีจริงๆ หรือเปล่า? ที่เรายึดมั่นถือมั่น ว่าเรา ว่าเขา คนนั้น คนนี้ ที่เรายึดอยู่นี่ ใครมาว่า หรือ ใครมาพูด เราไม่ชอบ เราก็โกรธ อะไรอย่างนี้ เป็นเราจริงๆ หรือเปล่า? ที่ต้องเป็นไปอย่างนั้น ตามอำนาจของกิเลส ที่จริงไม่มี เราจริงๆ ตามธรรมนี่ ไม่มี ที่มีนั้นเป็นเรื่องหลอกๆ สมมติบัญญัติ เราคิดไปเอง เราคิดไปเอง!!! ที่จริงแล้ว ไม่มี ตา ก็เห็นแค่ "สี" หู ก็ได้ยินแค่ "เสียง" จมูก ก็ "ได้กลิ่น" ลิ้น ก็ "รู้รส" กาย ก็ "กระทบสัมผัส" เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นปรมัตถธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีอยู่จริง แต่ว่าหลังจากนั้น ตาเห็นแล้ว ใจคิด ไม่ใช่แค่เห็น หูได้ยิน ใจก็คิด จมูกได้กลิ่น ใจก็คิด ลิ้นรู้รส ใจก็คิด กายถูกต้องสัมผัส ใจก็คิด เรื่องใจเป็นเรื่องใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่ใจ

ท่านอาจารย์ คุณธิดารัตน์ เลือกอะไรหรือเปล่าคะ?

อ.ธิดารัตน์ ทั้งๆ ที่ทราบว่า การที่จะเลือกอะไร ก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย แต่เวลาที่เรารู้สึกลังเล จะอย่างนี้ดี หรือว่า จะอย่างนี้ดี ก็เป็นเรื่องปกติค่ะ ท่านอาจารย์ แต่การที่จะตัดสินใจที่จะทำอะไร ก็เหมือนกับตัดสินใจ ไม่ใช่ความเป็นเราตัดสินใจ แต่มีเหตุมีปัจจัยให้ตัดสินใจ ที่จะเป็นไปในขณะต่างๆ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่มีเราที่เลือก แล้วมีอะไรคะ? คุณสงบ

อ.สงบ ไม่มีเราที่จะเลือก ก็เป็นสภาพของธรรมะที่ปรากฏตามธรรมดา ตามปกติ ตามความเป็นจริง แต่ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ จะยืน เดิน นั่ง นอน คิด พูด โกรธ พอใจ ดีใจ เสียใจ เป็นเรื่องของเราทั้งนั้นเลย มีแต่เราทั้งหมดเลย เพราะอะไร? เพราะว่า ไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าแต่ละขณะ ไม่มีเรา ปุถุชน ย่อมแย้งกับพระพุทธพจน์ คือ แย้งกับธรรมะ เพราะแต่ละขณะที่ปรากฏ ไม่มีเราในนั้นเลย ไม่ว่าจะได้ยิน ได้กลิ่น นึกคิด อะไรก็แล้วแต่ ตามที่ท่านอาจารย์เคยนำพวกเราเข้าไปสู่สภาวที่เป็นจริง คือ สภาวธรรมที่เป็นจริง ไม่มีเราเลย!!!

แต่ปุถุชนทั้งหลายทั้งปวง คิดว่าเป็นเรา คือ ยึดว่าเป็นเราทั้งหมดเลย ไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่เป็นเรา ก็แย้งกับความเป็นจริงที่เป็นสภาวธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะ สิ่งที่ติดตามมาก็ดูเหมือนว่า เราเลือกได้!!! เป็นเราเลือกได้ แล้วก็ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เป็นเราอีกเหมือนกัน แต่แท้ที่จริงก็คือ สภาวไม่มีสิ่งที่เลือกได้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ แต่ละขณะไม่มีเราเลย จะมีเราได้อย่างไร เพราะว่า ดับแล้ว ก็หมดไปแล้ว ก็หายไปแล้ว สิ้นไปแล้ว แต่ละขณะ ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส ไม่มีเรา

แต่ ด้วยความไม่รู้ จึงเป็นเรา ทั้งหมด ความทุกข์เกิดขึ้นอยู่ตรงนี้ ได้ตามโลภะ ก็ดีใจ ไม่ได้ตามโลภะ โทสะเกิด ก็ไม่พอใจ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ เป็นเราทั้งหมดเลย แต่แท้ที่จริงแล้ว พระธรรมคือไม่มีเรา เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นสภาวธรรม ที่เกิดแล้วก็ดับ และทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ทุกคนก็มีทั้งจิต และ เจตสิก กับ รูป ไม่ว่าจะเป็นผม เป็นท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้ และรวมลงก็เป็นรูปกับนาม ก็คือเป็นเช่นนี้ และสภาวที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีเหลืออยู่เลย ก็เป็นเช่นนี้

ฉะนั้น สภาวที่เป็นเช่นนี้ เป็นจริงๆ แต่ละขณะเดี๋ยวนี้แหละ นั่นคือพระธรรมที่เป็นจริง เป็นสภาวที่เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่ปุถุชน ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสดับพระะธรรม ว่าสภาวที่เป็นจริงแต่ละขณะนั้น ไม่มีเราอย่างไร ทำไมจึงมีเรา ทำไมจึงไม่มีเรา อันนี้เป็นสภาวที่จะต้องเข้าใจสภาวที่จริงๆ ที่เป็นของจริง ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ก็คงต้องใช้เวลา แม้คนพูด ก็ยึดมั่นว่าตัวเองพูด แม้คนฟัง ก็ยึดมั่นว่าตัวเองฟัง แม้ไม่พูดคำว่ายึดมั่น แต่ทั้งหมด ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านั้น เป็นเราทั้งหมดเลย นี่คือ ทุกข์เกิดขึ้น เพราะ มีเรา ไม่รู้ว่า เราไม่มี ไม่รู้ว่า เรา คือ ธรรมะ อย่างไร

คุณพรทิพย์ ท่านอาจารย์กล่าวว่า เลือกที่จะหมดกิเลสไม่ได้ แต่ก็สะสมหนทางที่จะดับกิเลสได้นี่คะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่ถ้าไม่มีปัจจัยในขณะนั้น ที่จะเป็นปัญญา ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่สะสมกิเลส ก็ต้องสะสมปัญญา ใช่ไหม?

คุณพรทิพย์ ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์ แล้วเลือกที่จะให้ปัญญาเกิด ได้ไหม?

คุณพรทิพย์ ก็เลือกไม่ได้อีกค่ะ

ท่านอาจารย์ ก็ต้องค่อยๆ ฟังพระธรรม จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น!!!

คุณพรทิพย์ แล้วการที่มาฟังพระธรรมนี่ เลือกหรือเปล่าคะนี่?

ท่านอาจารย์ มีจิตหรือเปล่า?

คุณพรทิพย์ มีค่ะ

ท่านอาจารย์ มีกุศลจิตไหม? มีอกุศลจิตไหม?

คุณพรทิพย์ มีค่ะ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรม เป็นจิตประเภทไหน?

คุณพรทิพย์ เป็นกุศลจิตค่ะ

ท่านอาจารย์ แล้วไม่ฟัง เป็นจิตประเภทไหน?

คุณพรทิพย์ อกุศลจิต ค่ะ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ใครเลือกหรือเปล่า?

คุณพรทิพย์ ไม่มีใครเลือกค่ะ

ท่านอาจารย์ แม้แต่กุศลจิตจะเกิด ก็ต้องมีเหตุปัจจัย อกุศลจิตจะเกิด ไม่ใช่ใครจะไปพยายามให้เกิด แต่ก็มีปัจจัยที่จะเกิด โดยไม่อยากให้เกิด เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ทรงแสดงความเป็นปัจจัย แต่ก่อนที่จะถึงความเป็นปัจจัย ก็ต้องรู้ว่า เป็นอะไรที่ไม่ใช่เรา ก่อน

คุณพรทิพย์ ดังนั้น ขั้นต้นก็จะต้องเข้าใจในความเป็นแต่ละหนึ่งของธรรมะก่อน

ท่านอาจารย์ ทุกคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำของปัญญาทั้งหมด ไม่มีอวิชชาที่จะทำให้กล่าวคำนั้นเลย เพราะฉะนั้น ทุกคำ เกิดจากปัญญา ที่ผู้ฟังได้ยินแล้ว ไม่ใช่ได้ยินแล้วผ่านไป แล้วก็ไม่สนใจ แม้แต่คำว่า ธรรมะ จะสอดคล้องกับที่เรากล่าวถึงทั้งหมดเมื่อกี้นี้ คือ สิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น ที่เราพูดเมื่อกี้นี้แต่ละท่าน เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่า เพราะไม่มีความเข้าใจว่า เป็นธรรมะ ไม่คุ้นเคยกับคำนี้ ก็เป็นคำของแต่ละคนไป แต่ถ้าย้อนกลับไป ทั้งหมดเป็นธรรมะ คิด ก็เป็นธรรมะ ถ้าไม่มีใจ ไม่มีจิต จะมีการคิดได้ไหม? ก็ไม่ได้ ใช่ไหม? กิเลสทั้งหลาย ถ้าไม่มีจิต ไม่มีใจ ก็มีไม่ได้

เพราะฉะนั้น แต่ละอย่าง ที่เราได้ยิน ได้ฟัง ต้องฟังแล้ว ฟังอีก

ขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมะหรือเปล่า? เห็นไหม? เราตอบได้ ว่า เป็นธรรมะ แต่ก็เป็นคนนั้น คนนี้ เห็นไหม? ได้ยินเพียงคำว่า ธรรมะ เข้าใจความหมายว่า ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง เห็น มีจริง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็มีจริง หลับตาแล้วไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น คนนั้น คนนี้ ก็ไม่มี เวลาหลับตา แต่พอเห็นก็ เป็นธรรมะ หรือ เป็นเรา หรือ เป็นใคร

เพราฉะนั้น แม้แต่คำว่าธรรมะคำเดียว ประมาทไม่ได้เลย ต้องถึงที่สุดของพระธรรม คือ ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา และ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง ขณะนี้ ที่เข้าใจว่าเป็นเรา คือ "เห็น" ที่เข้าใจว่าเป็นเรา คือ "ได้ยิน" ที่เข้าใจว่าเป็นเรา คือ "คิด" เพราะลืมคำว่าธรรมะ ก็เราเห็น เราคิด เราเข้าใจ แต่พอกลับไปหาความเข้าใจว่าเป็นธรรมะ ก็คือว่า เห็น ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง ได้ยิน ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง คิด ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง สุข ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น กว่า "คำเดียว" ที่ได้ยิน จะเป็นคำที่ไม่ลืม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็รู้ว่า นั่นคือสิ่งที่มีจริงชั่วคราว แสนสั้น แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น ธรรมะ คำเดียว จะทำให้ถึงการดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่เหลืออะไรเลย ที่จะเป็นเรา!!!

แต่คำนี้ ได้ฟังน้อย ใช่ไหม? "ธรรมะ" คุ้นเคยกับคำอื่น คุณธีรพันธ์ เลือกอะไรหรือเปล่าคะ?

อ.ธีรพันธ์ จริงๆ แล้ว ก็เลือกที่จะมาสนทนาธรรม แต่ว่า เพราะความไม่รู้ จึงคิดว่าเป็นเรา แต่จริงๆ แล้วก็เป็นสภาพธรรมะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมะซึ่งละเอียดเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต ก็มีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็คือ ฉันทะเจตสิก เพราะว่า ฉันทะ เป็นความใคร่ที่จะกระทำ ไม่ใช่เราที่จะกระทำ แต่เป็นลักษณะของพอใจที่จะเป็นไปในกุศล พอใจที่จะเป็นไปในการฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะ เพื่อความเข้าใจ

คือ อย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งหมด เป็นธรรมะ แต่ว่า เมื่อไม่รู้ จึงเป็นเรา เป็นเราที่มานั่งสนทนาที่นี่ แล้วอกุศลก็เกิดได้มากด้วย มีการเปรียบเทียบว่า คนที่ไม่ได้มาสนทนาที่นี่ ไปที่อื่น อาจจะคิดว่าเขาเป็นอกุศลก็ได้ นี่คือ ความไม่รู้ทั้งหมดเลย

ผู้ที่ไม่ได้มาสนทนาธรรมะที่นี่ อย่างเช่นวันนี้ ก็ไปที่ มหินทะเล ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่เป็นสมัยที่พระมหินทเถระ ซึ่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ศรีลังกาเป็นครั้งแรก ก็เป็นการเจริญกุศลของผู้ที่ใคร่ที่จะไปที่นั่น จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรา ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรม ก็คิดว่าเป็นเรา แต่จริงแล้ว เป็นธรรมะทั้งหมดเลย แต่ว่าไม่รู้ จึงไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ

ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้ว ก็เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าเราได้เข้าใจขึ้น เช่น ใครเคยไปมหินทะเลแล้วบ้าง? ใครยังไม่เคยไปมหินทะเล ความจริงใครจะรู้? อาจจะเคยอยู่ที่มหินทะเลมาแล้ว หลายปีก็ได้ แต่พอถึงวันนี้ เป็นคนนี้ จะไปดูมหินทะเล

เพราะว่า เราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าชาติก่อน เราเป็นใคร? อยู่ที่ไหน? ไม่ต้องไปดูมหินทะเล แต่อยู่แถวนั้น ก็ได้ ใช่ไหม? เห็นอยู่แล้วทุกวัน แต่พอถึงชาตินี้ ใหม่หมดเลย คนเก่าไม่เหลือเลย

เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า เราจะเป็นคนนี้เพียงชาตินี้ ชาติเดียว จะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย เพราะว่า เหมือนกับชาติก่อน เราเคยเป็นใคร อยู่ที่ไหน ก็ไม่รู้ แต่พอถึงชาตินี้ ไม่รู้จักเลย คนก่อนเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน เกิดที่ไหน ไปที่ไหน ก็ไม่รู้ รู้เฉพาะชาตินี้

เพราะฉะนั้น อีกไม่นาน ไม่นานเลย เพราะอะไร? ใครก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะเป็นคนอื่น ต่อจากคนนี้ หมดสิ้นความเป็นบุคคลนี้ โดยสิ้นเชิง จะกลับมาอีกไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ชาติก่อนเคยอยู่มหินทะเล เคยสนุกสนานอย่างไร และยิ่งเป็นในสมัยที่พระมหินทเถระ โอรสของพระเจ้าอโศก ซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ ได้ถึงเวลาสมควรที่จะเผยแพร่พระธรรมที่ศรีลังกา ท่านก็ได้มาที่นี่ เราก็อาจจะอยู่แถวนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้น ชาตินี้ ใครเคยมา มาแล้วกี่ครั้ง ใครไม่เคยมา แต่ชาติก่อน ใครจะรู้?

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมะ กุศลใดๆ ที่เคยเกิด ไม่ได้หายไปไหนเลย สนใจที่จะฟังธรรมะ สนใจที่จะมาเมืองศรีลังกาหลายๆ เมือง ก็ตามการสะสม แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ แล้วหมดเลย ไม่เหลือเลย จำอะไรอีกก็ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า เป็นคนใหม่แล้ว

เพราะฉะนั้น "ทำดี เข้าใจธรรมะ" เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เพราะว่าเลือกไม่ได้ และกิเลสก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ แต่ฟังพระธรรมได้ ถ้าเห็นค่าของพระธรรม อยู่ตรงจุดนี้ จุดเดียว

ใครที่เห็นประโยชน์สูงสุดของชีวิต ว่ากิเลส เอาไปทำไมเยอะๆ กุศลก็น้อย แล้วปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม ซึ่งจะติดตามไป เหมือนบุคคลในครั้งอดีต สมัยพระมหินทเถระ ที่ท่านมาเผยแพร่ เขากล่าวว่า ทั่วทั้งประเทศศรีลังกา มีรอยเท้าพระอรหันต์ ก็เป็นไปได้ แต่ต้องเป็นไปได้ ด้วยปัญญา ไม่ใช่อยากเป็น พยายามไปทำให้เป็น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ!!!

เพราะฉะนั้น จะรู้ได้ว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นแล้ว คำของใครก็ไม่รู้ จะให้เข้าใจอะไร ในเมื่อไม่ใช่เดี๋ยวนี้ จะให้เข้าใจสิ่งที่หมดไปแล้ว ไม่เหลือเลย หรือจะให้เข้าใจสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เป็นไปไม่ได้ แต่คำของพระองค์ ก็คือ กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วแต่จะคิด จะใส่ใจ จะสนใจ จะเข้าใจ ก็ต้องเป็นคำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้!!! ซึ่งจะทำให้เข้าใจสิ่งที่ผ่านไปแล้วในอดีต และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต

เพราะ วันนี้เห็น เมื่อวานเห็นหรือเปล่า? "เห็น" พรุ่งนี้เห็นไหม? พรุ่งนี้ก็จะเห็น แต่จะเห็นหรือไม่เห็น นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าจะมีพรุ่งนี้ก็คือว่า มีเห็นอีก มีได้ยินอีก มีคิดนึก ต่างกันไป เป็นแต่ละหนึ่งขณะ แต่ก็มีเพียง ๖ ทาง คือ ทางตา ถ้ากรรมให้ผลเพียงแค่เกิดมาแต่ไม่ให้เห็น จะมีประโยชน์อะไร เพราะว่า เห็น มีทั้งสิ่งที่น่าพอใจ และ สิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นผลของกรรมที่เลือกไม่ได้ ทางหู เกิดมาแล้วก็ต้องได้ยิน ไม่ใช่คนหูหนวก มีโสตปสาท ซึ่งกรรมทำให้เกิดขึ้นเป็นรูปที่อยู่กลางหูซึ่งมองไม่เห็น แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบเสียงได้

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่เสียงปรากฏ ให้รู้ว่า ต้องมีรูปในตัว ซึ่งกรรมเป็นปัจจัย ทำให้สามารถกระทบเสียง และขณะที่ "จิต" กำลังได้ยินเสียง ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นผลของกรรมที่ทำให้ได้ยินเสียงนี้ เพราะเสียงมีหลายเสียง เสียงฟ้าร้องมี เสียงดนตรีมี เสียงดัง เสียงเบา เสียงเพราะ เสียงไม่เพราะ กรรม ทำให้จิตเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่เพราะ เพราะเป็นผลของกุศลกรรมที่ทำไว้ นอนหลับสนิท ฟ้าร้อง ตื่น เกิดขึ้นได้อย่างไร? ใช่ไหม? คนข้างๆ นอนหลับสนิท (หัวเราะ) แต่คนนี้ตื่นขึ้น ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ใครทำ? ไม่มีใครทำอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นเรื่องของธาตุ เป็นเรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องของจิต เจตสิก ซึ่งถึงเวลาที่จะต้องเกิด ก็ต้องเกิด!!!

เมื่อวานนี้ ดิฉันหกล้ม ใครกั้นผลของกรรมได้? อุตส่าห์อยู่ข้างๆ กันตั้งหลายคน ดูแลอย่างดี แต่ถึงเวลาแล้ว ไม่มีใครที่จะช่วยได้เลยทั้งสิ้น เมื่อถึงเวลาของกรรม ที่จะทำให้เกิด ก็ต้องเกิด เห็นชัดอย่างนี้ ว่าไม่มีใครบันดาลได้เลย นอกจากกรรมที่ได้ทำแล้ว และการให้ผลของกรรม ก็นอกจากขณะที่เกิด แล้วก็ยังต้องดำรงชีวิตต่อไป ยังจากโลกนี้ไปไม่ได้ เพราะกรรมยังไม่สิ้นสุด ก็จะต้องมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าขณะใดที่กระทบสิ่งที่แข็ง นั่นคือผลของอกุศลกรรม ถ้าขณะใด กายกระทบสิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นก็เป็นผลของกุศลกรรม

ถ้าเข้าใจถูก จะทำกุศลเพิ่มขึ้นไหม? ทุกอย่าง และโดยเฉพาะก็คือว่า มีโอกาสได้เข้าใจธรรมะ เพราะว่า ถ้าเป็นกุศลอื่น ก็ทำให้เกิดดี เห็นดี ได้ยินดี ชั่วคราว แล้วก็จากโลกนี้ไป แต่ว่า ถ้าเข้าใจธรรมะ ก็จะสะสมความเข้าใจนี้ สืบต่อไป มีโอกาสได้ฟังอีก ไม่ใช่ว่าใครมาดลบันดาลให้ แต่เพราะ กรรม ที่ได้กระทำแล้ว

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 พ.ย. 2558

งดงามด้วยภาพและเนื้อหาธรรม ขออนุโมทนาพี่วันชัยและ ทุกท่านครับ

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยควาามเคารพ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 8 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
napachant
วันที่ 8 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natural
วันที่ 8 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natural
วันที่ 8 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 8 พ.ย. 2558

กราบขอบพระคุณทุกๆ คำค่ะ เป็นกำลังใจที่จะต่อสู้กับความไม่รู้ไปอีกนานแสนนาน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Boonyavee
วันที่ 8 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Noparat
วันที่ 9 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
peem
วันที่ 10 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ปวีร์
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
apiwit
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
orawan.c
วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 25 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 23 ก.พ. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ