ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๐

 
khampan.a
วันที่  27 มี.ค. 2559
หมายเลข  27600
อ่าน  1,414

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๐

~ ต้องเข้าใจว่าเมตตานี้ หมายความถึงความเป็นมิตร ความไม่ใช่ศัตรู ขณะใดที่หวังเกื้อกูล คิดถึงประโยชน์ของคนอื่น ขณะนั้นเป็นจิตที่เมตตา ซึ่งเมื่อจิตเมตตาเกิดขึ้นแล้ว เวลาที่กุศลจิตเกิด ย่อมมีทางของกุศล คือ กายบ้าง วาจาบ้าง ขณะที่เมตตาเกิดจริงๆ นี้ กายจะเป็นกุศลจริงๆ ช่วยเหลือได้ทันที ไม่อิดเอื้อน หรือไม่รู้สึกว่า ไม่ใช่ธุระ, หรือทางวาจาที่เมตตา คำพูดก็จะต่างกับขณะที่ไม่เมตตา เป็นคำพูดที่คำนึงถึงผู้ฟัง ไม่ทำให้เขาเกิดความเสียใจ เพราะว่าพระธรรมนี้ละเอียดมาก แม้แต่การที่เพียงแต่จะย้อนเพื่อน ขณะนั้นก็รู้ว่า กำลังย้อนนั้น ไม่ใช่เพื่อน คนละขณะกับที่เป็นเพื่อนแล้ว จิตขณะนั้นเป็นอกุศล ปราศจากเมตตาแล้ว เพราะฉะนั้น การที่ได้ศึกษาธรรมโดยละเอียดนี้ ก็จะทำให้กาย วาจาเพิ่มความระมัดระวัง และเป็นกุศลขึ้นที่ประกอบด้วยเมตตา

~ ถ้าวันหนึ่งๆ โกรธคนอื่น แล้วเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว มีวาจาที่บาดหูคนฟัง แล้วพอค่ำๆ ก็ท่องเมตตา ก็เป็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริงใจ

~ ฟังธรรมแล้ว เข้าใจ แต่สวดมนต์แล้ว ไม่เข้าใจ พระผู้มีพระภาค ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออะไร? เพื่อให้เข้าใจความจริงโดยคำที่พระองค์ตรัส แต่ไม่ใช่ให้พูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นประโยชน์อยู่ที่ว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้เข้าใจธรรมจากพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง ยังไม่ชื่อว่าได้ฟังพระธรรม, ต้องเป็นผู้ตรง จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกของตนเอง หรือว่า จะพูดคำที่ไม่รู้จัก?

~ ถ้าผลุนผัน ฟังพระธรรมแล้วก็ไม่ไตร่ตรองก็เข้าใจพระธรรมผิดได้ ถ้าเข้าใจผิดก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะว่าเข้าใจผิดแม้ในขั้นของปริยัติ

~ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน แม้ว่าคนอื่นจะทำกรรมที่ไม่ดีกับเรา แต่เรามีกรรมดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปเดือดร้อนกับกรรมไม่ดีที่คนอื่นกระทำกับเรา เพราะว่าใครทำกรรมอย่างใดก็ได้อย่างนั้น แล้วเราจะไปคิดที่จะพยาบาทเบียดเบียนเขาทำไม ในเมื่อรู้ว่าเขาต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน แล้วความพยาบาทไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเก็บให้มีมากๆ เลย เพราะเหตุว่าเป็นทุกข์ในขณะที่เกิดขึ้นด้วย

~ ขณะที่ได้ฟังพระธรรม ปัญญาจะทำให้เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งชีวิตข้างหน้าให้เป็นไปตามความเข้าใจถูก


~ อวิชชาเป็นลิ่มสลักใหญ่โตมาก ไม่มีใครสามารถที่จะใช้ความเป็นเราไถ่ถอนหรือว่ายกอวิชชานั้นขึ้นได้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่สะสมและมีความเข้าใจ จึงจะค่อยๆ ขยับลิ่มสลักที่ตอกไว้แน่นที่จะไม่ให้ออกไปสู่ความจริงได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่มีหนทางเลยที่จะรู้ว่าความจริงคืออะไร

~ อยากจะเห็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น อยากได้ยินเสียงที่ดี แต่ทั้งหมดต้องเป็นไปตามเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว พร้อมที่จะให้ผลเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิด จิตได้ยินเกิดเหล่านี้เป็นผลของกรรม ต้องเข้าใจละเอียดด้วย


~ ขณะใดที่เป็นอกุศลจิตประเภทหนึ่งประเภทใด ต้องมีโมหเจตสิก (ความไม่รู้)
เกิดร่วมด้วย

~ รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าที่อกุศลยังมากมาย เพราะกุศลยังน้อย ยังน้อยมาก เพราะฉะนั้น ก็ยังต้องมีการสะสมทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ความเห็นถูก

~ เราไม่ถูกใครทำร้ายเลยนอกจากอกุศล ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิก เกิดเมื่อไหร่ก็ทำร้ายเมื่อนั้น

~ คิดด้วยความเมตตาว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและก็ช่วยเหลือคนอื่น


~ ถ้าจะศึกษาธรรมในเพศพระภิกษุ ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม พระภิกษุทุกยุคทุกสมัยจะต้องน้อมประพฤติตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้บัญญัติสิ่งที่เหมาะควรแก่พระภิกษุ

~ บวชที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิใช่หรือ? เมื่อบวชแล้วก็ต้องเป็นผู้ตรงที่จะต้องประพฤติตามพระวินัย และจะต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็จะไม่สามารถประพฤติตามพระวินัยได้อย่างครบถ้วนได้

~ เวลาติด ต้องเป็นทุกข์ อยากจะได้สิ่งที่เราต้องการ ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ติดข้องมากนัก เริ่มเห็นความสุขขึ้นมาบ้าง คือ ไม่เดือดร้อน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม

~ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใครทำอะไรด้วยความไม่เข้าใจ

~ ปัญญาจะไม่นำพาไปในทางที่ผิด

~ ถ้าทำดีแล้ว ปลอดภัยแน่นอน ไม่มีสิ่งที่ทำให้เดือดร้อนใจด้วยประการใดๆ เลยทั้งสิ้น

~ ไม่ว่าจะมีชีวิตในลักษณะใด ก็ควรที่จะมีการฟังธรรม พิจารณาแล้ว ประพฤติปฏิบัติตามธรรมอยู่เรื่อยๆ อย่าให้ชีวิตขาดธรรมหรือว่าขาดการศึกษา ขาดการฟังธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นโดยลักษณะ (ที่ขาดการศึกษาธรรม) นั้นแล้ว ก็จะเป็นผู้ประมาท.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๓๙

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 27 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 27 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 27 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonyavee
วันที่ 27 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 27 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 28 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 28 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Noparat
วันที่ 28 มี.ค. 2559

~ ปัญญาจะไม่นำพาไปในทางที่ผิด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jirat wen
วันที่ 28 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pulit
วันที่ 29 มี.ค. 2559

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nattawan
วันที่ 30 มี.ค. 2559

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ