ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๑

 
khampan.a
วันที่  3 เม.ย. 2559
หมายเลข  27623
อ่าน  1,844

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๑

~ กุศลทั้งหมดเป็นทรัพย์ที่แท้จริง อกุศลไม่ใช่ทรัพย์เลย และไม่นำมาซึ่งทรัพย์ทั้งปวงด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเจริญกุศลได้ยิ่งขึ้นก็จะต้องอาศัยศรัทธา ถ้าปราศจากศรัทธา ขาดศรัทธาเสียแล้ว ก็ไม่สามารถอบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น แม้แต่ศรัทธาในการฟังธรรมหรือในการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น ศรัทธานี้เปรียบเหมือนพืช ถ้าไม่มีพืชก็ย่อมปลูกข้าวหรือปลูกพืชพรรณใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น ก่อนอื่นทีเดียวก็ต้องมีพืช คือ ศรัทธาในการฟังพระธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญมากทีเดียว ถ้าขาดศรัทธาในขั้นต้น คือ ในขั้นการฟัง ก็ย่อมจะไม่ประพฤติปฏิบัติตามได้

~ พระภิกษุทั้งหลายก็ควรจะเป็นผู้อดทนและสงบเสงี่ยมด้วย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพระภิกษุเท่านั้น พุทธบริษัททั้งหมดเมื่อได้พิจารณาพระธรรม และเห็นคุณของพระธรรมทั้งหลาย ก็น้อมประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล จึงจะเป็นผู้ที่ประพฤติตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

~ การขัดเกลากิเลสเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะเหตุว่าจะต้องเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมโดยละเอียด โดยถูกต้อง ถ้าใครศึกษาพระธรรมโดยไม่รอบคอบ หรือมีการเข้าใจผิดในพระธรรม การขัดเกลากิเลสก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้

~ คนที่คิดถึงประโยชน์จริงๆ เป็นผู้อดทนที่จะไม่ให้คนอื่นเสียประโยชน์ ยากไหม? ยาก, ก็ยากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ายังมีกิเลสอยู่ตราบใด ก็จะสะสมแต่กิเลส และกิเลสก็จะเกิดง่ายสำหรับคนที่ไม่เห็นประโยชน์ของตนเองและคนอื่น

~ โสรัจจะ โดยคำแปล คือ ความสงบเสงี่ยม แต่ความหมายคือสงบเสงี่ยมอะไร? กาย วาจาไม่ก้าวร้าว ไม่หยาบคาย ซึ่งความจริงขณะนั้นก็คือธรรมซึ่งเกิดขึ้นด้วยความอดทนนั่นเอง ถ้าอดทนน้อย กาย วาจาเป็นอย่างไร ถ้าอดทนมากขึ้น ก็สงบเสงี่ยมได้ ก็คือชีวิตประจำวันทั้งหมด

~ กว่าจะเข้าใจจนสามารถละคลายอกุศลเดิมๆ ที่เคยสะสมมามาก ต้องเป็นการเข้าใจ ธรรมจริงๆ ด้วยการเห็นประโยชน์ว่า ผู้ที่สามารถดับอกุศลได้ต้องด้วยปัญญาที่เริ่มจากการเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่คิดหวังถึงอนาคตว่า อะไรจะเกิดขึ้น อะไรก็เกิดได้ทั้งนั้น ทั้งหมดตามเหตุตามปัจจัย แต่ขณะนี้ปัญญาสามารถเริ่มเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นธรรมหรือยัง นี่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด

~ หนทางนี้ยาก ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าเป็นหนทางละโดยตลอด ละโลภะ ละความเห็นผิดที่เกิดร่วมกับโลภะ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อละตามลำดับขั้น จนกระทั่งละการเกิด ไม่มีอีกเลย



~ ทุกอย่างต้องอาศัยการอบรม เพราะว่าคิดถึงจิตแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว สะสมอะไรมาก อกุศลมาก กระด้าง หยาบ แข็ง ไม่อ่อน ไม่ควรแก่การงานที่จะเป็นกุศลเลย แม้ว่าได้ฟังพระธรรมที่ทรงชี้โทษของอกุศล และประโยชน์ของกุศลมากมายสักเท่าไร จิตใจก็ยังไม่อ่อนที่จะเกิดเป็นกุศลในขณะนั้นได้ จนกว่าพระธรรมที่ได้เข้าใจแล้ว จะทำให้สภาพที่แข็งกระด้างของจิตค่อยๆ อ่อนลง จนสามารถเป็นกุศลได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นอุปนิสัย

~ ขณะที่เป็นอกุศลก็ประมาท ขณะใดที่กุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเกิด สตินั่นแหละระลึกถึงกุศลประเภทนั้น เช่น ขณะที่ให้ทาน ก็เพราะสติเป็นไปในการให้ ขณะที่วิรัติ (งดเว้น) ทุจริต สติเกิดขึ้นเป็นไปเว้นกายทุจริต วจีทุจริต หรือขณะทำสิ่งใดที่สมควร เป็นการช่วยเหลือบุคคลอื่น ก็เพราะสติเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ถ้าสติไม่เกิด ก็คือ เป็นอกุศล

~ มิตรมาจากคำว่า (มิตตะ) ไมตรี ความหวังดี เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพราะฉะนั้น คนที่เป็นมิตรจริงๆ จะทำร้ายไหม จะพูดร้ายไหม จะคิดร้ายกับคนที่เขารู้จักหรือเปล่า?

~ ทั้งหมดเป็นธรรมะที่จริงและตรง ไม่มีสักคำเดียวที่ผู้เป็นกัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้เกิดโทษและอกุศลกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด

~ คนที่เป็นอกุศลมาก ก็คงต้องเป็นอกุศลเพิ่มขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถรู้ได้ว่า วันไหนจะทำอกุศลมากมายได้อย่างไร เช่น ท่านพระเทวทัต จะมีใครคิด ชาวพุทธทุกคนมองไม่ออก คิดไม่ถึงเลยว่า ใครจะสามารถเปรียบตัวเองกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ผู้ที่สะสมอกุศลมาก็เป็นอย่างนั้นได้ ใครสามารถทำอกุศลหนักหนาสาหัสได้ ก็คือผู้ที่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม ไม่มีความละอาย

~ ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขแน่นอน เพราะว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาของปัญญาที่ทำให้เกิดความสงบทั้งกาย วาจา และใจ จนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่สงบ คือ กิเลส ทั้งหมด ได้ นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ไม่ว่าในยุคไหน สมัยไหน กาละไหนก็ตาม โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ตาม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เปลี่ยน สิ่งใดที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ซึ่งเป็นพระวินัย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยใด ต้องประพฤติปฏิบัติตาม เพราะว่าจุดประสงค์ของ (ความเป็น) พระภิกษุทุกสมัย เพื่อสงบจากอกุศล โดยการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วย



~ พระพุทธศาสนาคืออะไร? พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคนในชาติไม่เข้าใจคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรหรือที่จะให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยไม่เข้าใจคำสอน แล้วจะมีประโยชน์อะไร

~ เห็นประโยชน์ของการเกิดมาในชาตินี้ ซึ่งเป็นมนุษย์ มีโอกาสที่จะได้ฟังสิ่งซึ่งยากที่จะได้ฟัง (คือ พระธรรม) เพราะเหตุว่าอีกไม่นานพระธรรม ก็อันตรธาน (หายไป) เพราะไม่มีใครสนใจที่จะเข้าใจ ไม่ใช่อันตรธานด้วยเหตุอื่น แต่เพราะเหตุว่าไม่มีใครเข้าใจ แล้วพระศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร

~ การศึกษาโดยเคารพทั้งพระธรรมและพระวินัย ไม่สายสำหรับคนเริ่ม เพราะว่าเริ่มเมื่อไหร่ เข้าใจเมื่อนั้น ทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าไม่เริ่มเลย แล้วจากโลกนี้ไป ก็ไม่ได้อะไรเลยจากโลกนี้ นอกจากกิเลสและความไม่รู้มากมายทุกวัน

~ การฟังพระธรรม เป็นผู้ที่มีเหตุที่ได้กระทำไว้ในปางก่อน ทำให้รู้ว่า สิ่งใดควรฟังอย่างยิ่ง ควรเข้าใจอย่างยิ่ง และยากอย่างยิ่งที่จะเข้าใจได้ แต่ก็สามารถจะเข้าใจได้ แต่ต้องมีศรัทธาและความอดทน

~ ที่ปั่นป่วน ที่เดือดร้อน ที่วุ่นวายต้องเพราะอกุศล แม้แต่ความคิดของแต่ละคนในชีวิตประจำวัน ผิดพลาดพลั้งไปเพราะอกุศล ไม่ใช่เพราะกุศล

~ เราไม่ควรหวังดีกับเฉพาะคนดีใช่ไหม ที่บอกว่า เจริญเมตตา เจริญเมตตา จำกัดหรือ? หรือว่ายิ่งเจริญ มีเมตตามากเท่าไรก็ยิ่งเป็นสุขเท่านั้น ร่มเย็นเป็นสุขไม่เดือดร้อนเลย

~ เป็นความจริงว่า ทุกคนต้องตาย แล้วใครจะตายก่อนก็ไม่ทราบ แต่เมื่อทุกคนจะต้องตาย ก็น่าที่จะพิจารณาว่า จะจากโลกนี้ไปอย่างเป็นห่วง ยังคงติดข้องในลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ ในความสำคัญตนว่า เป็นเรา หรือว่าจะจากไปด้วยปัญญาที่ค่อยๆ รู้ แล้วก็ละคลาย การเห็นผิดการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน?

~ เป็นไปไม่ได้ที่ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) จะเลือกทำชั่ว.


ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
aurasa
วันที่ 3 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 3 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 3 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 3 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 4 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 4 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 4 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Noparat
วันที่ 4 เม.ย. 2559

~ เป็นไปไม่ได้ที่ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) จะเลือกทำชั่ว.

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 4 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kanchana.c
วันที่ 4 เม.ย. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 4 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 4 เม.ย. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
orawan.c
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chamaikorn
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ