ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๑

 
khampan.a
วันที่  12 มิ.ย. 2559
หมายเลข  27878
อ่าน  2,837

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๑

~ เมตตาก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดง่าย แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรมจริงๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่า ถ้ายังคงมีอกุศลมากมาย การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉทนี่ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้

~ เรื่องของการฟังพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องฟังแล้วพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองเพื่อประโยชน์อันแท้จริง

~ คนเราก็ต่างกันไป แต่ว่าทุกคนสามารถจะอบรมเจริญปัญญา แล้วก็ละคลายกิเลสได้ ไม่ควรที่จะท้อถอย หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามตามความเป็นจริง ไม่รีบร้อน ไม่ฮวบฮาบ เพราะเหตุว่าเรามีอวิชชามากมายเหลือเกินในแสนโกฏิกัปป์ แล้ววันนี้เราจะให้หมด เป็นไปได้ไหม หรือว่าเดือนนี้ ปีนี้ ชาตินี้ เราจะดับกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย

~ เวลาที่ทำกุศลอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วระลึกขึ้นมาได้ในภายหลัง จะไม่เดือดร้อน ถ้าเป็นกุศลจริงๆ

~ ขณะใดที่เราโกรธใครก็ตาม ขณะนั้นไม่ใช่เมตตา เพราะเหตุว่าเป็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับโทสะ เวลาที่เราเห็นใครสักคนในที่นี่ เราเคยดูหมิ่น ดูถูก หรือว่ามีความสำคัญตนไหม ถ้าขณะนั้นกำลังดูถูกดูหมิ่น ขณะนั้นก็ไม่ใช่เมตตา

~ เราไม่เบียดเบียนเขา แต่อกุศลจิตของเขายังคิดร้ายต่อเรา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของจิตของแต่ละบุคคล ซึ่งต้องเห็นโทษของกิเลส ตราบใดที่เขาไม่เห็นว่า อกุศลของเขาเป็นโทษ เขาก็ยังโกรธเรา ยังไม่ชอบเราอยู่นั่นเอง ทั้งๆ ที่ใจของเราไม่ได้ทำร้ายเขาเลย นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า จิตต่างกัน เราเมตตาเขาได้ แต่เขาจะเมตตาเราหรือเปล่า แล้วแต่การสะสมของเขา เราไม่เบียดเบียนเขา แต่เขาจะคิดเบียดเบียนเราหรือเปล่า นั่นก็เป็นเรื่องจิตใจของเขา

~ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจธรรม เป็นความจริง ซึ่งทำให้ผู้ฟังเริ่มเกิดปัญญาที่จะรู้จักตัวเอง และรู้จักโลก รู้จักสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกตามความเป็นจริง จนกระทั่งดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ก็เป็นเลิศ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เป็นสาวกทุกท่านต้องฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าตนเองไม่ได้สะสมบารมีมาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า

~ บุคคลใดทำกรรมอย่างใด ต้องได้รับผลของกรรมอย่างนั้น ช้าหรือเร็ว ไม่ใช่กรรมของคนอื่นจะมาให้พ่อ ให้แม่ ให้ลูก ให้ญาติ ให้พี่น้อง ไม่ได้เลย

~ เขาก็มีอกุศลจิต เราก็มีอกุศลจิต ถ้าใครยังโกรธใครอยู่ หรือไม่ชอบใครก็ตาม ขอให้คิดเสียว่า เราจะเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็จะไม่เห็นกันอีก เพราะฉะนั้นจะทำอะไร เมื่อเป็นการเห็นครั้งสุดท้ายกันแล้ว จะทำดีหรือจะทำชั่วต่อกัน

~ ถ้ามั่นคงในกรรมแล้ว เรื่องกรรมของเขา เขาก็ต้องมีแน่ๆ วิบากของเขา เขาก็ต้องได้รับแน่ๆ และอกุศลของเขาก็มี ของเราก็มี เราก็มีหน้าที่อย่างเดียวที่เกิดมาในโลกนี้ คือเพียรละอกุศลของเรา ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับอกุศลของคนอื่น

~ กิเลสเขาทำหน้าที่ของกิเลส คือ โลภะเขาก็มีกิจหน้าที่ของเขา คือ ติดทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นแล้วก็ชอบอยากได้ ได้ยินเสียงก็ติดข้อง มีความยึดมั่นไม่สละ นั่นคือกิจของโลภะ ถ้าโทสะก็เป็นสภาพที่หยาบกระด้าง ขณะใดที่เกิดขึ้นเขาก็แข็งกระด้าง ขุ่นเคือง ทำร้ายทำลายทุกอย่าง นั่นคือลักษณะของโทสะ

~ ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร

~ ถ้าปัญญาไม่เกิด แล้วจะอ้อนวอนขอให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็เป็นไปไม่ได้ และอยู่ดีๆ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ต้องอบรมเจริญให้ค่อยๆ เกิดขึ้น

~ ถ้ามีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิด วาจาก็ผิด การกระทำก็ผิด ทุกอย่างก็ผิดไปหมด

~ เป็นอันตรายมากเหลือเกินสำหรับความเห็น ถ้าความเห็นของท่านคลาดเคลื่อนผิดไป ทุกอย่างจะผิดหมด สิ่งที่ถูก ท่านก็เห็นเป็นผิด สิ่งที่ผิด ท่านก็เห็นเป็นถูก และแม้พระผู้มีพระภาคเองจะตรัสโอวาทก็ไม่ฟัง ไม่พิจารณา

~ ถ้าเป็นความเห็นถูก ก็เป็นปัจจัยให้กาย วาจาประพฤติในทางที่ถูก

~ ตายแล้ว ทำความดีได้ไหม? ไม่ได้ รอก่อนได้ไหม ขอทำทานเสียก่อนแล้วจะตาย? ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องของความตายซึ่งจะมาถึงเมื่อไหร่ ก็ย่อมเป็นอนุสสติที่จะเตือนให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการทำความดี



~ ถ้าเป็นการตั้งต้นผิด ก็ผิดไปเรื่อย ชาติหน้าก็ไม่ได้ปัญญาที่ถูกต้อง ก็ยังคงหลงไปรู้สิ่งที่ผิดอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าตั้งต้นถูก ต่อไปชาติต่อๆ ไปก็เจริญอบรมให้มากขึ้นได้ เมื่อเริ่มจะตั้งต้นชาตินี้ ก็ตั้งต้นให้ถูกเสียเลย

~ ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) แล้ว ชื่อสำนักปฏิบัติไม่จำเป็นเลย เพราะว่าที่ใดก็เป็นที่ๆ สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ แม้ในที่นี้ แล้วทำไมจึงจะต้องมีชื่อเฉพาะพิเศษว่า สำนักปฏิบัติ ถ้าเป็นอย่างนั้นหมายความว่า นอกสำนักปฏิบัติที่มีชื่ออย่างนั้นแล้ว ไม่มีการปฏิบัติธรรมเลย ก็จะไม่ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ว่า สติ จำปรารถนาในที่ทั้งปวง และควรเจริญในกาลทุกเมื่อ

~ ถ้ามีกิเลสมากๆ มีทรัพย์เท่าไหร่ก็ไม่สุข

~ ไม่ว่าบุคคลใดก็ตาม ที่เห็นประโยชน์ของธรรม ย่อมฟังธรรม เพราะรู้ว่าธรรมเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น

~ ถ้าไม่เข้าใจข้อปฏิบัติที่ถูก เห็นข้อปฏิบัติที่ผิดว่า เป็นข้อปฏิบัติที่ถูก ก็จะกล่าวตำหนิข้อปฏิบัติที่ถูกว่าเป็นข้อปฏิบัติที่ผิดไปเสียแล้ว ตามความเข้าใจผิดของตัวเอง เพราะฉะนั้น ก็จะต้องพิจารณา ว่า ข้อปฏิบัติใดเป็นข้อปฏิบัติที่ถูก เพื่อว่าจะได้ไม่ถูกบุคคลอื่นชักชวนชักจูงด้วยความเข้าใจผิด

~ การศึกษาธรรม การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพื่อที่จะให้มีบุคคลร้อยหนึ่ง พันหนึ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพื่อลาภ เพื่อสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง แต่เพื่อการดับกิเลส ซึ่งคนอื่นดับให้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เรื่องของการศึกษาธรรมก็ดี การปฏิบัติธรรมก็ดี เพื่อประโยชน์อย่างเดียว คือการดับกิเลส

~ ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ จึงเป็นทาน ถ้าให้สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่เป็นทาน ของเน่าของเสีย เขาก็เอาไปทิ้ง จะเรียกว่าเราได้กุศลหรือจิตเป็นกุศลได้อย่างไร ไปทำให้คนอื่นเขาเป็นภาระเดือดร้อนรำคาญต่างหาก, ถ้าของนั้นยังเป็นประโยชน์อยู่ ควรให้ อย่าทิ้ง กรุณาอย่าทิ้งของที่จะเป็นประโยชน์สำหรับบุคคลอื่น

~ ไม่ว่าจะมีคุณความดีประการอื่นเพียงใดก็ตาม ไม่สามารถจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ถ้าปัญญาไม่เจริญขึ้น ถ้าปัญญาไม่คมกล้าถ้าปัญญาไม่รู้แจ้งในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็ควรจะเห็นคุณอันประเสริฐยิ่งของปัญญา แล้วก็อบรมให้มากขึ้น อย่าหวังสิ่งอื่นเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เลย ถ้าเป็นการหวังในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็ยิ่งเพิ่มความต้องการ เพิ่มกิเลส

~ ถ้าเมตตาเจริญจริงๆ แม้คนไม่ดี หรือคนที่เราเคยไม่ชอบ เมตตาก็ยังเกิดได้ และขณะนั้นใจก็ไม่เดือดร้อน

~ ทุกชาติต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีใครพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นในยามทุกข์ ใครสามารถจะช่วยคนอื่นให้คลายทุกข์ได้ นั่นก็ต้องเป็นปัญญา เพราะเหตุว่าอย่างอื่นย่อมไม่สามารถทำให้คลายทุกข์ได้

~ ทุกท่านได้เห็นชีวิตตามความเป็นจริงจากชีวิตของท่านเอง ในชาติที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วได้เข้าใจด้วย แต่ชีวิตต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย บางครั้งอาจจะมีสุข มีทุกข์ มีอุปสรรค มีเหตุการณ์ในชีวิตแต่ละชาติก็ไม่ซ้ำกัน แต่ต้องมีการฟัง ต้องมีการระลึกถึงพระธรรม และเป็นผู้อยู่ในธรรม คือ ประพฤติธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วไม่มีโยนิโสมนสิการที่จะพิจารณาสภาพของจิตที่จะเป็นกุศลยิ่งขึ้น

~ ถ้ารู้จักตัวเอง ว่า อวิชชาต้องมีมาก และขณะนี้กำลังสะสมวิชชา เพื่อจะให้มีกำลังที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีการเข้าใจลักษณะของธรรม ก็ไม่มีวิชชาที่จะละอวิชชา คือ ความไม่รู้

~ ศัตรู คือ อกุศลที่เกิดกับจิต ทำให้จิตเป็นโรค เน่า เสีย ขณะใดที่อกุศลธรรมเกิด เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะพิจารณาว่า อยากจะชนะศัตรูไหม หรืออยากจะปล่อยให้ศัตรูมีกำลังไปเรื่อยๆ ?

~ ขณะใดที่ปกติเป็นอกุศล ทุกวันชีวิตเป็นไปในเรื่องของอกุศลทั้งนั้น ขณะนั้นก็เป็นอกุศลศีล ถ้าปกติเป็นผู้ที่มีศีล เป็นผู้ที่มีกาย วาจาสุจริต นั่นก็เป็นกุศลศีล เพราะฉะนั้นปกติจริง แต่ว่าปกติเป็นอกุศลศีล หรือว่าปกติเป็นกุศลศีล

~ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีอะไรจะละคลายกิเลสได้เลย กิเลสไม่ได้อยู่ในหนังสือ กิเลสอยู่ที่การสะสมมา ตราบใดที่ยังไม่ได้ละ ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมเพื่อรู้จักสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่สภาพนั้นมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ ถ้าเป็นคนที่ไม่สำคัญเลยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ขณะนั้นจะสบายใจไหม ถ้าเป็นคนที่ไม่สำคัญเลย ที่จริงแล้วสบายมาก แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความสำคัญตนที่สะสมมามาก ก็จะเป็นผู้ที่เดือดร้อน กระสับกระส่าย ไม่สบายใจเลย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า วิถีชีวิตของแต่ละคนที่ได้ฟังพระธรรม มีการสะสมอบรมเหตุที่จะให้ปัญญาเกิดแล้วก็อบรมจนกระทั่งถึงขั้นที่จะละคลายกิเลสบ้างไหม เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่เริ่มเห็นความละเอียดของกิเลสขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ

~ อวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และก็ไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ เพราะฉะนั้นก็ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ว่าถ้าในขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล แล้วก็ยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็เป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก

~ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏอยู่ในแต่ละคำที่พระองค์ตรัส

~ พระธรรม แต่ละคำเป็นแสงสว่าง แต่ละคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) มีค่ามหาศาลจริงๆ ทำให้สิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ ได้เข้าใจขึ้นแม้แต่คำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ใครรู้บ้าง ถ้าไม่ได้ฟัง

~ ทำไมถึงไปทำสิ่งที่ไม่รู้จัก สิ่งที่ไม่เข้าใจ ยังทำต่อไปเรื่อยๆ ? เริ่มคิดได้ไหมว่า ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพื่อให้คนที่ได้ฟังคำของพระองค์เข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคำที่ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ อีกความหมายหนึ่งของ "ภิกขุ (พระภิกษุ) " คือ ผู้ที่ทำความดีในเพราะการขอ รู้คุณเลยว่าอาหารแต่ละมื้อที่ได้มาจากผู้ที่ให้ ใส่ลงไปในบาตร เพื่อที่จะให้ดำรงชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อชีวิตเป็นอย่างนี้ ก็ต้องทำความดีให้คุ้มกับการที่เขาได้ให้

~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย จะบวชทำไม?

~ เมื่อไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การปฏิบัติก็คลาดเคลื่อน ผิดไป

~ ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๕๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 12 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 12 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 12 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 12 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
dawhan
วันที่ 12 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pulit
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Noparat
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

~ เวลาที่ทำกุศลอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วระลึกขึ้นมาได้ในภายหลัง จะไม่เดือดร้อน ถ้าเป็นกุศลจริงๆ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Boonyavee
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Thanapolb
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เมตตา
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
nong
วันที่ 14 มิ.ย. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
rrebs10576
วันที่ 14 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
kullawat
วันที่ 19 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
kukeart
วันที่ 21 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
สิริพรรณ
วันที่ 22 เม.ย. 2560

"พระธรรม แต่ละคำเป็นแสงสว่าง แต่ละคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) มีค่ามหาศาลจริงๆ ทำให้สิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ ได้เข้าใจขึ้นแม้แต่คำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ใครรู้บ้าง ถ้าไม่ได้ฟัง"

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ