ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๙

 
khampan.a
วันที่  16 ต.ค. 2559
หมายเลข  28283
อ่าน  3,099

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๙

~ เป็นชีวิตจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดมาแล้ว และทุกชีวิตกำลังก้าวไปสู่ความแก่และความตาย ซึ่งในระหว่างนั้นจะพ้นไปจากโสกะ (ความเศร้าโศก) ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ) ทุกข์โทมนัส (ความเสียใจ) อุปายาส (ความคับแค้นใจ) ไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้เริ่มเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมฝ่ายเกิด ซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นไปละเอียดขึ้นในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้สามารถรู้หนทางอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดับปฏิจจสมุปปาท (ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิด) ได้

~ จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ ทำให้เคลื่อนหรือพรากจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่มีการจะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้ได้อีกเลย สูญสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ในสังสารวัฏฏ์์ฏ์ ในชาติก่อนๆ ที่แล้วมา เคยเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ในชาตินี้ก็สิ้นสุดสภาพของความเป็นบุคคลนั้นแล้ว แล้วก็กำลังมีสภาพของความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลอย่างไหน ประเภทใด ตามที่ทรงแสดงไว้ในบุคคลบัญญัติก็ตาม ก็จะต้องสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เมื่อจุติจิต คือ จิตดวงสุดท้ายเกิดขึ้นแล้วดับไป

~ เห็นสภาพความเป็นจริงจากการเกิด การแก่และการตาย ในชีวิตประจำวันของวงศาคณาญาติ เพื่อนฝูงอยู่เสมอ และแม้แต่ตัวท่านเอง จากภพหนึ่งสู่อีกภพหนึ่ง จากชาติหนึ่งสู่อีกชาติหนึ่ง จากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่ง จากเหตุการณ์ในชีวิตของชาติหนึ่ง สู่เหตุการณ์ในชีวิตของอีกชาติหนึ่ง เนิ่นนานมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ จนไม่มีใครสามารถจะจดจำได้ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้จริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง คงไม่คิดที่จะหยุดเกิด ใช่ไหม? แต่ว่าอย่าลืมว่าทันทีที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที ไม่มีใครที่จะยับยั้งได้เลย ก็เป็นการตั้งต้นของชาติ ชรา และมรณะต่อไปอีก

~ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ถ้าเป็นผู้ที่เริ่มรู้จักตัวเอง ก็จะเห็นตัวเองว่าไม่ดี ซึ่งไม่ดีในที่นี้ หมายความว่า ไม่ดีเพราะเต็มไปด้วยกิเลส ถ้าใครยังไม่ได้เห็นกิเลสของตัวเองเลย ผู้นั้นก็จะไม่ขัดเกลากิเลส ไม่ฟังพระธรรม ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของพระไตรปิฎก แต่ผู้ที่ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยบ้าง พระสูตรบ้าง หรือพระอภิธรรมบ้าง ก็เพื่อที่จะให้เกิดปัญญา รู้จักตนเองตามความเป็นจริง

~ ทุกคนมีชีวิตอยู่ แต่ว่าจะอยู่ด้วยอะไร จะอยู่อย่างไร จะอยู่ด้วยศรัทธา ด้วยวิริยะ ด้วยสติ ด้วยสมาธิ ปัญญา หรือว่าจะอยู่ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ?

~ สิ่งที่มีจริงพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ไม่เหลืออะไรไว้ให้ใครต้องไปหาทางคิดเองอีก แต่ว่าถ้าได้ฟังพระธรรม แล้วก็มีโอกาสที่จะเข้าใจขึ้น นั่นก็แสดงว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะรู้คุณจริงๆ ว่านอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครเป็นที่พึ่ง

~ ประโยชน์สูงสุดของชีวิตไม่มีอะไรเท่ากับการได้ฟังพระธรรมและได้เข้าใจพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ถูกต้องตามความเป็นจริง

~ ถ้าจะเกิดการรังเกียจหรือหิริ (ความละอายต่ออกุศล) จริงๆ ต้องเป็นความรังเกียจหรือหิริในอกุศลของตนเอง ไม่ใช่รังเกียจอกุศลของคนอื่น เพราะบางคนก็เห็นกายวาจาของคนอื่นที่ไม่ดีงาม ที่น่ารังเกียจ แต่ว่าขณะใดที่คิดรังเกียจอกุศลของคนอื่น ที่จะไม่เกื้อกูล ไม่เมตตา ไม่สงเคราะห์ ไม่กรุณา ขณะนั้นก็ลองพิจารณาดูว่า การรังเกียจอกุศลของคนอื่นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ดีหรือไม่ดี?

~ ถ้าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ให้ทราบว่าขณะนั้นอกุศลธรรมครอบงำจิต แล้วทำอย่างไรถึงจะสลัด ถึงจะละ ถึงจะขัดเกลาอกุศลธรรมที่กำลังครอบงำอยู่ได้ มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ เจริญกุศลทุกประการ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โอกาสของทาน แต่เป็นเรื่องที่จะต้องสงเคราะห์ช่วยเหลือ ช่วยเหลือทันที สงเคราะห์ทันที ขณะนั้นเป็นกุศลจิต มิฉะนั้นแล้ว ขณะนั้นอกุศลธรรมครอบงำได้ เพราะปัจจัยของอกุศลย่อมมีอยู่พร้อมเสมอ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

~ เรื่องของความตายก็เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องของความเจ็บไข้ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นความเป็นธรรมดาอย่างนี้ ก็จะคลายความกลัวตาย เป็นบุคคลที่ไม่กลัวที่จะตายจริงๆ เพราะว่าเป็นบุคคลที่อบรมเจริญกุศลธรรมพอที่จะไม่หวั่นไหวในเรื่องของความตาย แล้วก็รู้ความจริงของสภาพนามธรรมและรูปธรรมว่า ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก แล้วแต่ว่าจะเกิดในภพใดภูมิใด ก็เป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อเป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลอยู่ ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว

~
ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็จะต้องรู้ความจริงว่า วันหนึ่งก็ต้องตาย เหมือนคนอื่นๆ ซึ่งตายไปแล้ว เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ควรที่จะได้พิจารณาว่า ควรที่วันที่จะจากโลกนี้ไป จะจากไปด้วยปัญญาที่ได้อบรมจนกระทั่งเจริญขึ้น หรือจะจากไปโดยไม่สนใจที่จะอบรมเจริญปัญญา? เพราะฉะนั้น ก็จากโลกนี้ไปด้วยความมัวเมา ติดข้อง เพลิดเพลิน ในลาภ ในยศ ในสักการะ ในสรรเสริญ ในสุข ซึ่งชั่วขณะจิตแล้วก็จะไม่ติดตามไปสู่โลกหน้าเลย

~ ธรรมที่ได้ยินได้ฟังอยู่ หรือที่จะได้ยินต่อไป หรือว่าที่ได้ยินมาแล้วก็ตาม ท่านจะต้องไตร่ตรองจริงๆ ให้ได้ความเข้าใจที่แท้จริง จึงจะได้ประโยชน์ที่เกิดจากธรรมที่ได้ฟัง มิฉะนั้นแล้วท่านอาจหลงผิด เชื่อผิด ปฏิบัติผิดได้โดยง่าย แต่ถ้าท่านพิจารณาไตร่ตรองในเหตุผล โดยรอบคอบ ก็ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

~ ถ้าผู้ใดประมาทธรรม ก็คิดว่าธรรมไม่ลึกซึ้ง ไม่ต้องฟังมาก ไม่ต้องพิจารณามาก ในเรื่องของการปฏิบัติ ก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นว่าปฏิบัติอย่างไรๆ เข้าใจอย่างไรๆ ก็ถูกทั้งนั้น นั่นคือผู้ที่ประมาทธรรม

~ ภิกษุรูปใดเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมที่ถูกต้อง ขัดเกลากิเลสถูกต้องแล้วรู้ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง จึงสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม สรรเสริญพระสงฆ์

~ เรื่องของการที่จะขัดเกลากิเลส การติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ต้องอาศัยการสะสมการอบรมเป็นบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ด้วย ถึงจะสามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะอบรมเจริญกุศลทุกประการ

~ บรรพชิตที่ละอาคารบ้านเรือนและพยายามที่จะละความหวังในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โดยที่จะต้องขัดเกลาทั้งธรรมและวินัย เพื่อที่จะละคลายการติดในวัตถุ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การขัดเกลากิเลสนี้ยากเพียงไร

~ บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมพระวินัยช่างละเอียดไปหมดทุกอย่างเลย ก็เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลสจะต้องละเอียดสักแค่ไหน สำหรับผู้ที่ระลึกแล้วรู้จริงๆ ว่า กิเลสนี้มาก จะต้องอาศัยกายอย่างไร วาจาอย่างไร เป็นการเกื้อกูลในการที่จะขัดเกลา ละคลาย เพื่อที่จะให้ถึงการดับกิเลสนั้นได้จริงๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีศรัทธาถึงกับละอาคารบ้านเรือนในเพศของบรรพชิต

~ เป็นเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อยังมีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดก็เกิด แต่สติก็สามารถที่จะระลึกรู้สภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง แล้วแต่ว่าจะมีจิตเมตตากรุณาอนุเคราะห์เกิดขึ้น ที่จะเสียสละวัตถุนั้นให้บุคคลอื่น เมื่อไร ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เกิด เพราะท่านก็ต้องสะสมมาในเรื่องของความเมตตากรุณาด้วย จึงสามารถจะสละวัตถุนั้นให้ได้





~ คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว จะกลับมาเป็นบุคคลเหมือนเดิมอีกได้ไหม? ไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อจากไปแล้วจะไปสู่กำเนิดอะไร แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นมารดา จะเป็นบิดาจะเป็นผู้เป็นที่รัก แต่ก็จากไปแล้วจากความเป็นบุคคลนี้ ไปสู่ความเป็นบุคคลอื่น มีกำเนิดอื่น มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นต่อไป แล้วทำไมถึงจะคร่ำครวญเศร้าโศกถึงผู้ที่ตาย เพราะฉะนั้นถ้าพิจารณาธรรมจริงๆ พระธรรมที่ได้พิจารณาแล้ว ก็จะดับความเศร้าโศกของบุคคลทั้งหลายได้ แล้วก็จะน้อมประพฤติปฏิบัติหนทางที่จะทำให้พ้นจากความเศร้าโศก พ้นจากความทุกข์ได้จริงๆ

~ ความตายนี้รวดเร็วมากทีเดียว เร็วยิ่งกว่าการที่จะกะพริบตา หรือว่าเพียงแต่จะเหยียดมือออก นั่นก็ยังนานกว่าการจุติและปฏิสนธิ เพราะเหตุว่าขณะจิตไม่มีระหว่างคั่นเลย ทันทีที่จุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว กำลังพูดอยู่ขณะนี้สิ้นชีวิตลงก็ได้ กำลังคิดค้างอยู่สิ้นชีวิตลงก็ได้ กำลังลืมตาแล้วหลับตาลงสิ้นชีวิตลงก็ได้ ได้ทุกขณะทีเดียวเร็วมาก เร็วที่สุดจนไม่น่าที่จะต้องกลัวเลยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนความตายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วปฏิสนธิก็เกิดต่อทันที

~ การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวัน นี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด?

~ ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใดได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นผู้ที่ประมาทมัวเมา ไม่คิดถึงว่า จะต้องเป็นผู้ที่จะถึงแก่ความตายจะเร็วหรือช้าก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าไม่ระลึกอย่างนี้บ้างเลย วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยการที่ท่านไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าเรื่องของอกุศลจิตนี้มีปัจจัยพร้อมที่จะเกิดอยู่เสมอ แต่เรื่องของกุศล นานๆ ก็จะมีโอกาสมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

~ เกิดมาแล้วก็นานหลายปี ยังไม่ตาย แต่ก็จะต้องตายแน่ๆ เกิดแล้วต้องตายทุกคน ความตายไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อใด พระธรรมที่แสดงถึงความตาย ก็เพื่อเตือนให้ระลึกได้ว่า อย่างไรก็ต้องตาย และจะตายเมื่อใด ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย คือ ได้เข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ เหลืออะไรบ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่าง จิตขณะแรกในชาตินี้ (ปฏิสนธิจิต) เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็ไม่มีเหลือ เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์จากการที่เกิดมาแล้วต้องตาย (จะเร็วจะช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง) อย่างน้อยในชาตินี้ ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริง

~ ถ้าไม่ได้ระลึกเลยว่า ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมา และเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ เพราะไม่ได้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ กุศลประการต่างๆ พร้อมด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

~ มีทรัพย์สมบัติมาก ก็ตาย มีความรู้ความสามารถมาก ก็ตาย มีญาติสนิทมิตรสหายคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ มาก ก็ตาย หรือ ผู้มีชีวิตที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็ตาย ตายทุกคน จริงๆ ไม่มีใครรอด แต่ใครจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการมีโอกาสสะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ

~ ไม่ควรที่จะหมกมุ่น เพลิดเพลิน มัวเมาในความเป็นหนุ่มสาว จนกระทั่งไม่คิดถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นสาระในชีวิต เพราะเหตุว่าถ้าจะให้รอไปจนถึงแก่เฒ่าเสียก่อน แล้วจึงจะศึกษาพระธรรมหรือเจริญกุศล เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันๆ นั้น ก็จะเป็นการเพิ่มพูนกิเลสให้ยิ่งขึ้น ทำให้การละคลายขัดเกลากิเลสยิ่งยากขึ้น

~ เกิดมาแล้ว ตายแน่นอน ไม่มีเราอีกต่อไป สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราด้วย เมื่อตายแล้ว อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติเลยที่นำติดตัวไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ไม่สามารถนำเอาติดตามไปได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะสะสมสิ่งที่ไม่ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อตายไป ก็หอบเอาสิ่งที่ไม่ดี คือ กิเลสซึ่งเปรียบเสมือนขยะ ไปด้วย

~ ชีวิตในวันหนึ่งๆ นี้ ไม่มีการที่จะรู้ล่วงหน้าเลยว่า กุศลกรรมจะให้ผล หรืออกุศลกรรมจะให้ผลในขณะใด แต่ใจของท่านนี้หวั่นไหวมากน้อยเพียงไร แล้วแต่การรู้ในสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง

~ ค่อยๆ ขัดเกลาวจีทุจริต โดยเฉพาะคือเรื่องของมุสาวาท (พูดเท็จ) ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ โดยมากท่านก็มักจะกล่าวว่า มีเหตุการณ์จำเป็นที่จะต้องมุสา (พูดเท็จ) เพื่อประโยชน์ของคนอื่นบ้าง หรือแม้ว่าเพื่อจะให้คนอื่นสบายใจ แต่ถ้าเป็นกุศลจริงๆ ไม่ควรที่จะมุสา แล้วก็ควรจะใช้คำพูดซึ่งเป็นประโยชน์ และทำให้คนอื่นสบายใจโดยที่ไม่ใช่มุสาวาทด้วย

~ ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
จึงทำให้คิดผิด เข้าใจผิด และขั้นต่อไปก็จะถึงการปฏิบัติผิดด้วย

~ อย่าลืมว่า การพูดในสิ่งที่ไม่จริง ทำให้คนอื่นเสียหายและเสียประโยชน์ และทำให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วย เพราะฉะนั้น ก็มีโทษมากทีเดียว

~ เต็มไปด้วยความไม่รู้ จึงอยู่มาในสังสารวัฏฏ์

~ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย

~ พระภิกษุ พ้นจากภาวะ (ความเป็น) คฤหัสถ์ทุกประการ

~ คฤหัสถ์จะบริโภคอาหารเวลาไหน ก็ได้ แต่ถ้าเป็นพระภิกษุแล้ว จะบริโภคอาหารได้เช้าชั่วเที่ยงเท่านั้น จะบริโภคอาหารเลยเวลาเที่ยงไม่ได้

~ ถ้าบวชเป็นพระภิกษุแล้ว หลังเที่ยง หิว จะทำอย่างไร? ถ้าทนไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นพระภิกษุ // หรือไม่ก็ เพียงแค่น้ำเปล่า ก็อยู่ได้แล้ว ดื่มก็อิ่มได้ มีชีวิตเป็นไปได้

~ ไม่ว่าจะเป็นเงินน้อยหรือมาก พระภิกษุ รับไม่ได้

~ ความตายเป็นของธรรมดา มีใครไม่ตายบ้าง? แต่ก่อนตายทำอะไร ความดีหรือความชั่ว?

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๘

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
j.jim
วันที่ 16 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kukeart
วันที่ 16 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 16 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 16 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 17 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tong9999
วันที่ 17 ต.ค. 2559

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 17 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 17 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 17 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Noparat
วันที่ 17 ต.ค. 2559

~ เกิดมาแล้ว ตายแน่นอน ไม่มีเราอีกต่อไป สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราด้วย เมื่อตายแล้ว อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติเลยที่นำติดตัวไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ไม่สามารถนำเอาติดตามไปได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะสะสมสิ่งที่ไม่ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อตายไป ก็หอบเอาสิ่งที่ไม่ดี คือ กิเลสซึ่งเปรียบเสมือนขยะ ไปด้วย

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
worrasak
วันที่ 17 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
rrebs10576
วันที่ 18 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ