ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๗๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๗๐
~ ความดีเป็นสิ่งที่ทุกคนอนุโมทนา (ชื่นชมยินดี) มีใครอนุโมทนาความชั่วบ้าง? ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังทางไหนก็ตามแต่ ต่างก็เห็นโทษของการกระทำอย่างนั้นว่าเป็นสิ่งที่ชั่วช้าเลวทราม ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ถ้าทุศีล (ล่วงศีล,ประพฤติไม่ดี) ก็คือว่า ไม่มีใครสามารถที่จะอนุโมทนาได้
~ ถ้าศึกษาพระธรรมวินัยเข้าใจจริงๆ ไม่มีสำนักปฏิบัติเลย เพราะเหตุว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เป็นธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย ปัญญาความเห็นถูก เข้าใจถูก จะมีได้อย่างไร ถ้าไม่ฟังพระพุทธพจน์ เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนที่คิดว่าไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะปฏิบัติ ก็ผิด เพราะเหตุว่า นั่งเฉยๆ อย่างนี้ จะรู้ได้อย่างไร รู้ได้ทางไหน แต่เพราะได้ฟังคำที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจถูกต้องในความเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ที่ชื่อว่าพุทธบริษัท จะไม่เข้าใจธรรมไม่ฟังธรรม ไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่ศึกษาธรรม ก็ไม่ใช่พุทธบริษัท
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าปัญญาต่างหาก ที่เกิดจากการฟังเข้าใจ ปฏิบัติกิจคือระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้เข้าใจแล้ว
~ พระภิกษุในพระธรรมวินัย ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติให้พระภิกษุทุกรูป ไม่เว้นสักรูปเดียวประพฤติปฏิบัติตาม
~ บวช หมายความว่า สละทั้งหมดทั้งสิ้นซึ่งชีวิตของคฤหัสถ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการครองเรือน วงศาคณาญาติ การสนุกสนานรื่นเริง หรือว่า ธุรกิจ ธุรการอะไรต่างๆ ของคฤหัสถ์ ก็กระทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจว่า สละทั้งหมดอย่างนี้ กิจธุระก็มีเพียงว่า ต้องฟัง ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แล้วก็ต้องรักษาคือประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยด้วยให้เหมาะสมควรแก่เพศบรรพชิต
~ ทั้งๆ ที่มีเจตนาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต แต่ตามี หูมี จมูกมี ลิ้นมี กายมี เพราะฉะนั้น ก็มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส มีการรู้โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) ถ้าการอบรมเจริญปัญญายังไม่สมบูรณ์ถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้จริงๆ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาที่เป็นอกุศลธรรมมีมากน้อยประการใด ก็ย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นโดยประการนั้น ซึ่งไม่เว้นแม้แต่บรรพชิต
~ ถ้าเห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของกาม ก็ควรที่จะพากเพียรอบรมเจริญกุศลทุกประการให้เป็นอุปนิสัย ในการที่จะขัดเกลากิเลสให้ลดน้อย เบาบาง ทุกภพ ทุกชาติ เท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะท่านก็คงจะเห็นว่า แม้จะได้ฟังธรรมโดยละเอียดสักเท่าใดก็ตาม แต่กิเลสก็ยังมีอยู่นั่นเอง เพียงการฟังเท่านั้น ยังไม่สามารถจะดับกิเลสได้ และกิเลสก็มากจริงๆ เดี๋ยวตระหนี่ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวผูกโกรธ เดี๋ยวริษยา ช่างมีมากมายเหลือเกิน เดี๋ยวก็มานะ (ความสำคัญตน) เพราะฉะนั้น การที่จะดับกิเลสเหล่านี้ให้หมดเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ก็จะต้องอบรมเจริญกุศลทุกประการ ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา (อบรมเจริญปัญญา) เพื่อที่จะเป็นบารมีให้สามารถที่จะสละการยึดถือนามรูปที่ปรากฏ แล้วจึงจะถึงการรู้แจ้งในพระนิพพานได้
~ ถ้าท่านมีศรัทธาที่จะอบรมเจริญสติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) ในเพศของบรรพชิต ท่านเป็นผู้มีเจตนาที่จะละคลายการติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เท่าที่ท่านจะสามารถจะประพฤติตามได้ตามพระวินัยบัญญัติ นั่นก็เป็นเรื่องของศรัทธา เป็นเรื่องของอุปนิสัยที่ท่านสะสมมา แต่สำหรับท่านที่เป็นฆราวาส ที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริงแล้ว อุปนิสัยที่สะสมมาเป็นฆราวาส จึงเป็นฆราวาส ไม่ใช่มีการบังคับที่จะต้องให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกคนเป็นเช่นบรรพชิต
~ ชีวิตของบรรพชิตกับคฤหัสถ์ต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่ใช่อยากบวช แต่ไม่รู้ว่า พระธรรมวินัยคืออะไร อันนั้นไม่ใช่พระภิกษุในพระธรรมวินัย เมื่อมีความประสงค์ที่จะขัดเกลากิเลส ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต ต้องพร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
~ ผู้ที่มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ก็ทราบว่าวันหนึ่งท่านก็จะต้องจากไป แต่ถ้าไม่เลี้ยงดูท่าน ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คือ เป็นผู้ไม่เห็นคุณของ มารดาบิดา แล้วผู้นั้นจะเห็นคุณของบุคคลอื่น ได้อย่างไร แม้แต่ผู้ที่เป็นมารดาบิดา ซึ่งเลี้ยงดู ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมา ให้ความสุขสบายมาตั้งแต่เกิด ผู้นั้นก็ยังไม่เห็นคุณ ยังไม่ทำตอบแทน คุณของท่าน เพราะฉะนั้น จะคิดถึงคุณของบุคคลอื่น ก็คงยาก เพราะแม้แต่คุณของมารดาบิดา ก็ไม่เห็น
~ ไม่มีอะไรในชีวิตที่ประเสริฐเท่ากับการที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งทั้งปวง เพราะเหตุว่าไม่ใช่การหลอกลวง ไม่ใช่การเข้าใจผิด ไม่ใช่การเห็นผิด แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ง่ายในการที่จะรู้สัจจธรรม เพราะว่าต้องเป็นผู้ที่ตรงและเป็นผู้จริงใจต่อการอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ด้วย
~ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม รู้ไหมว่า จิตนี้ไม่สะอาดเลย เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ วันหนึ่งๆ หัวหน้าใหญ่ก็ไม่พ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะเป็นพื้นอยู่ ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลย ก็ยิ่งสะสมทับถมทวีคูณ เพิ่มขึ้นในเรื่องของความดำ ความไม่สะอาด ความมืดสนิท
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ทำให้มีแสงสว่างที่จะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร อะไรถูก อะไรควร จนถึงที่สุดว่าไม่มีความเห็นผิดที่ยึดถือสิ่งที่ไม่มีว่ายังมีอยู่
~ ปัญญา ความเห็นถูกที่เห็นโทษภัยของอกุศลนั่นแหละกำลังช่วยไม่ให้อกุศลเกิด และการสะสมกุศลที่ได้สะสมมาแล้วก็ช่วยให้กุศลเกิด
~ คนที่มีกิเลสมากๆ แล้วกิเลสลดน้อยลง หรือ สามารถดับได้อย่างเด็ดขาด ด้วยอะไร? ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก
~ เวลาที่โกรธ บางคนก็หมดไปโดยง่าย แต่ว่าบางคนก็ยังผูกโกรธ คือ ความโกรธนั้นรัดรึงใจไว้บ่อยๆ เดี๋ยวนึกขึ้นมา ก็โกรธอีกแล้ว เดี๋ยวก็โกรธ ทำไมเรื่องนั้นนิดเดียว แต่โกรธต่อไปอีกได้ตั้งนาน นั่นเป็นความผูกโกรธ แต่ว่าผู้ที่มีสติ ก็ระลึกได้แทนที่จะโกรธ ก็ไม่โกรธ เพราะฉะนั้น สติ เป็นสิ่งที่มีอุปการะคุณมาก ไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยอะไรเลย
~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนคาดคะเนธรรมตามความคิด ความเชื่อความเข้าใจของตนเอง ซึ่งมีหนทางที่จะผิดได้มากเพราะอวิชชาความไม่รู้ แต่ว่าถ้าศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ ก็จะทำให้เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งขึ้น
~ ถ้าเป็นข้อปฏิบัติที่ผิด ทำให้ข้อปฏิบัติที่ถูกไม่เกิดขึ้น แล้วก็ยังเป็นการเผยแพร่ในข้อปฏิบัติที่ผิด ก็ย่อมจะเป็นการทำลายข้อปฏิบัติที่ถูก ซึ่งก็เป็นโทษมากสำหรับตนเอง กับทั้งผู้อื่นด้วย
~ ถ้าท่านเป็นผู้ที่ทำกุศลยาก เพราะเป็นผู้ที่ย่อหย่อนเกียจคร้านในการกุศล ก็จะต้องเป็นผู้ที่ขยันเสียเดี๋ยวนี้ทันที เพราะชีวิตแต่ละขณะไม่ใช่ยืนยาวเลย ชั่วขณะจิตเดียว ขณะจิตเดียวที่จะเป็นกุศลหรืออกุศลขึ้นอยู่แต่ละขณะจิต เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรที่จะทอดธุระหรือว่ายังเป็นผู้ที่ยังคงย่อหย่อนเกียจคร้านในการเจริญกุศล
~ ทางวาจา ก็มีเรื่องลำบากหลายเรื่องเหมือนกันสำหรับบางท่าน เช่นพูดคำหลอกลวงคนอื่น ในขณะนั้นก็ลำบากแล้วใช่ไหม? ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ก็ย่อมไม่ลำบาก หรือบางท่านก็ถึงกับใช้คนอื่นให้ไปว่าคนที่ตนไม่พอใจ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ
~ ถ้ารู้ว่าคนอื่นมีอกุศลอย่างไร ท่านเองก็มีอกุศลอย่างนั้น ก็เหมือนกัน ก็น่าที่จะเข้าใจและเห็นใจ และอดทนต่ออกุศลของคนอื่นได้ ถ้าท่านสามารถจะมีความอดทนต่ออกุศลของคนอื่นเพิ่มขึ้น ก็แสดงว่าพระธรรมได้ขัดเกลาจิตใจของท่าน ที่เคยไม่อดทนต่ออกุศลของคนอื่น เพราะรู้สึกว่าอดทนยากต่ออกุศลของคนอื่น แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นกุศล จะรู้สึกว่าอดทนได้โดยไม่ยาก
~ พระธรรมเทศนาทั้งหมด เพื่อเตือนให้รู้จักตนเอง เพื่อความไม่ประมาท เพื่อการที่จะได้เจริญกุศลธรรมมากขึ้น ยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นการไร้สาระหรือว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึงความจริง แต่ว่า เพื่อจะให้ผู้ศึกษาได้ตระหนักชัดถึงความจริง
~ ฟังความจริง จนกว่าจะเข้าใจความจริง
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๖๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ฟังท่านอาจารย์จากพื้นฐานพระอภิธรม ตอนที่ 856 " เข้าใจธรรม และทำความดี "
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ.คำปั่นในธรรมทานด้วยค่ะ