ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๒๖ - ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๒๖ -๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณกุสุมา โกมลกิติ (พี่จู) และครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ เพื่อไปพักผ่อนเป็นการส่วนตัว ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เป็นการเดินทางมาพักผ่อนที่นี่ปีละครั้งของท่านอาจารย์ ตามที่พี่จู (คุณกุสุมา) และครอบครัว มีกุศลศรัทธากราบเรียนเชิญล่วงหน้าไว้ทุกๆ ปี ซึ่งในครั้งที่ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางมาด้วย ก็ได้บันทึกเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ไว้ ท่านที่สนใจ สามารถติดตามได้ตามลิงค์ที่แนบไว้ในตอนท้ายของกระทู้นะครับ
อย่างที่ทราบกันดีว่า ข้อดีของการได้มีโอกาสสนทนาธรรมเป็นการส่วนตัวกับท่านอาจารย์ หรือที่ท่านอาจารย์เรียกว่าเป็น การสนทนากลุ่มย่อย คือเป็นการสนทนาแบบสบายๆ ใครที่มีอะไรติดขัด สงสัย ไม่เข้าใจ ก็สามารถนำมาสนทนา กราบเรียนถามท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องได้ เพราะถ้าเพียงฟังแล้วคิดเอง ก็อาจจะผิด ทำให้หลงทางได้
เพราะเหตุนี้ ทำให้ข้อความการสนทนากลุ่มย่อย ที่เป็นการสนทนาโดยส่วนตัวกับท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลกับทุกๆ ท่านที่มีโอกาสได้ฟังหรืออ่านข้อความการสนทนา ซึ่งปัจจุบัน ด้วยการเห็นประโยชน์และคุณค่าของการสนทนาดังกล่าว ที่สามารถเกื้อกูลต่อความเข้าใจสำหรับทุกๆ ท่านที่สนใจในวงกว้างด้วย จึงมีการขออนุญาตท่านเจ้าภาพที่กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์เพื่อการบันทึกเป็นวีดีโอไว้ด้วยในบางครั้ง บางสถานที่ ในกรณีที่สามารถจะกระทำได้โดยไม่เป็นการลำบากใจแก่ท่านเจ้าภาพ ซึ่งโดยปกติจะเป็นเพียงบันทึกเสียงการสนทนาไว้ และนำมาตัดต่อเป็นเอ็มพีสามเผยแพร่ในภายหลัง เพราะเหตุว่าการจะทำการบันทึกวีดีโอดังกล่าว หากต้องใช้บุคคลากรและอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย ก็อาจทำให้ความรู้สึกว่าเป็นการพักผ่อนและการสนทนาส่วนตัวแบบสบายๆ ตามความประสงค์ของท่านเจ้าภาพสูญเสียไปได้
อนึ่ง ในเช้าวันสุดท้ายของการเดินทางมาพักผ่อนและสนทนาธรรมที่นี่ ข้าพเจ้าได้ทราบจากคำบอกเล่าของคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ว่า ขณะที่คุณแอ๊วเข้าไปกราบท่านอาจารย์เมื่อเดินทางไปถึงคอนโดฯ ท่านอาจารย์กำลังพักผ่อนอยู่หน้าทีวี โดยมีพี่เล็ก (คุณนวลวรรณ แซ่โค้ว) กำลังนวดเท้าให้ท่านอยู่ ขณะที่ท่านอาจารย์นั่งพักผ่อนสบายๆ อยู่นั้น ก็เห็นหลายคนเดินไปเดินมา บางคนก็มองนาฬิกาเหมือนจะดูว่าถึงเวลาสนทนาหรือยัง บางคนก็นั่งทำดอกไม้จันทน์อยู่ที่โต๊ะอาหาร ท่านจึงปรารภกับคุณแอ๊วแบบยิ้มๆ ปนหัวเราะในทำนองว่า ไม่เห็นจะต้องรอเวลาเลย ใครอยากจะสนทนาก็มานั่งสนทนากันตอนนี้เลย มาพักผ่อนไม่ใช่หรือ? ใครอยากจะสนทนาก็เข้ามาเลย (ทำไมจะต้องไปนั่งเป็นแบบแผนอย่างนั้น มีกำหนดเวลาอย่างนั้นด้วย อันนี้ข้าพเจ้าพูดเอง ฮ่าๆ ) นี่เป็นสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาอย่างยิ่ง ซึ่งก็ทำให้นึกถึงการมาที่นี่ในคราวก่อน ที่พี่แดง (พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง) ได้เล่าว่า ในตอนเช้าก่อนจะเดินทางกลับ ขณะที่ท่านนั่งแช่เท้าในน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออยู่นั้น ทุกคนก็ไปล้อมวง นั่งสนทนาธรรมรอบๆ ตัวท่าน เป็นการสนทนาแบบสบายๆ ในขณะของการพักผ่อนจริงๆ ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจ น่าชื่นใจอย่างยิ่ง
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาพี่จู คุณหนิง และครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ (ครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกทั้งคุณพ่อคุณแม่ พี่น้องในครอบครัว ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์มากที่สุดครอบครัวหนึ่ง) สำหรับโอกาสของการได้ฟังสิ่งที่มีค่ายิ่งในชีวิตในครั้งนี้รวมทั้งอาหารอร่อยๆ ที่จัดเตรียมไว้ ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณตู่ (ขจีรัตน์ แก้วทานัง) สำหรับแกงส้มไหลบัวใส่ปลาอังเกยที่หอมมัน สมเป็นปลาที่หาทานได้ยาก ปลาเค็มทอด เกี๊ยวปลาและขนมหวานรสเลิศ ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) และคุณแม่ สำหรับแกงคั่วสัปปะรดใส่กุ้งรสนุ่มนวลไม่หวานมาก ที่ตั้งใจทำมาให้คุณป้าจี๊ดรับประทานโดยเฉพาะ (และเป็นลาภปากของพวกเราด้วย เพราะคุณยายทำมาหม้อเบ้อเริ่ม) และยำมะเขือม่วงกุ้งสดใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์แสนอร่อย พร้อมทั้งอาหารมื้อกลางวันที่ครัวเชฟชา ที่อิ่มจนพุงกางก่อนกลับ ขออนุโมทนาสหายธรรมทุกท่านที่ร่วมกันเจริญกุศลในครั้งนี้ ขอบพระคุณพี่เบญฯ (เบญจมาศ สุขสำราญ) สำหรับมะม่วงน้ำปลาหวานใส่ปลาย่างสูตรเด็ดที่ยั่วน้ำลายทุกคนได้ดีเยี่ยม อนุโมทนาพี่เรวัติ ค่ำอำนวย ที่เดินทางมาหัวหินแต่เช้ามืด เพื่อมาขับรถพาท่านอาจารย์กลับกรุงเทพมหานคร
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนของวันแรก มาบันทึกไว้เพื่อให้ทุกๆ ท่านที่สนใจได้พิจารณา ซึ่งเมื่อเช้านี้ ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ได้เปิดฟัง วิทยุออนไลน์ ของเวปไซต์บ้านธัมมะฟัง ก็พอดีกับที่ทางเวปได้นำการสนทนาที่ รอยัล ปริ๊นเซส ในครั้งนี้มาออกอากาศให้ได้ฟังซ้ำอีก ขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยนะครับ
ท่านอาจารย์ โลภะเยอะ แต่ปัญญาจะต้องรู้จัก ตามความเป็นจริงด้วย!! ตามปกติด้วย!! นี่คือปัญญาจริงๆ ที่สามารถจะ "ละความเป็นตัวตน" ได้!! เพราะเหตุว่า ทั้งหมดตั้งแต่ลืมตาจนหลับตาทุกชาติไป ก็มีแต่ความติดข้องและความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะละความเป็นตัวตนได้จริงๆ ไม่ใช่เราจะไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น!! นอกจาก "ความเข้าใจ" แล้วก็ "ความเป็นปกติ" ด้วย!!
เดี๋ยวนี้เอง!! ถ้าสามารถที่จะมีปัจจัยที่จะให้ปัญญาเข้าถึงลักษณะที่กำลังเป็นธรรมะ ก็จะรู้ว่า...เราไม่ได้ทำ!!! เกิดแล้ว!! แต่ตอนนั้น พอเห็นมะม่วง ก็ รู้สึกว่าอิ่มใช่ไหม? แต่พร้อมที่จะรับประทาน ก็เป็นเรา เราไปหมดเลย ไม่มีถอยกลับมาที่ "ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังเป็น"
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง "สัมมาทิฏฐิ" สำคัญที่สุด!!! ทุกชาติ มั่นคง!! ตั้งแต่เริ่มต้นว่า เป็นสิ่งที่ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่า ต้องเป็นความเข้าใจ สิ่งที่มี เดี๋ยวนี้!! ตามปกติเลย ที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องคำนึงถึง!! นี่คือ...ละ...วาง...แต่ใจที่ผูกพันไว้ เดี๋ยวก็คิดถึงแล้ว ใช่ไหม? ตอนนั้นเป็นอย่างนี้ เมื่อกี้นี้เป็นอย่างนั้น แต่ว่า ตามความเป็นจริงก็คือว่า จนกว่าปัญญาจะทำหน้าที่ของปัญญา...แต่ละขั้น...ตามลำดับ ...
เพราะฉะนั้น ละวางนี่ ละวาง ตั้งแต่ "ขั้นฟัง" ฟังเพื่ออะไร? เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เท่านี้เอง!! ไม่ต้องไปถึงไหนเลย!!! ถ้าไปเพื่อเราจะได้รู้ เราจะเข้าใจ ก็ผิดทันที!!
พี่กฤษณา เมื่อเช้านี้ได้ฟังคำว่า "มักน้อย" ที่ท่านอาจารย์บอกว่า มักน้อยนี้ต้องมีปัญญาถึงขั้นพระอรหันต์หรือคะ?
ท่านอาจารย์ นี่ค่ะ เราก็ไปมุ่งหน้าที่จะไปคิดอะไรก็ไม่รู้!! (หัวเราะ) แม้แต่คำว่า "มักน้อย" หมายความว่าอะไร? โลภะมีเยอะ หมดได้ไหม? เพราะฉะนั้น แค่ "มักน้อย" นี่เราก็ต้องรู้แล้ว ต้องเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปคิดถึงพระอรหันต์หรืออะไร เพราะความจริงก็คือว่า คำนี้หมายถึงกถาวัตถุ ๑๐ เริ่มตั้งแต่ ไม่มีโลภะ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้!! เพราะฉะนั้น คำพูดที่จะไม่ให้มีโลภะ แล้วเราก็ไปคิดว่าต้องเป็นพระอรหันต์ ถึงจะดับหมด แต่ความจริงพระอรหันต์ไม่มีโลภะ แต่คำพูดนี้ นำไปสู่การที่จะไม่มีโลภะ
เพราะฉะนั้น เราก็รู้ว่าเรามีโลภะ ใช่ไหม? ตามปกติด้วย!! ไม่เกิดไม่เห็น ไม่โผล่ขึ้นมาไม่รู้ ว่าโลภะของแต่ละคน ไปในทางไหน มากน้อยแค่ไหนด้วย!! ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น (หัวเราะ) ใช่ไหม? หรือทางกาย หรือทางใจ หมดเลยทุกทาง!!
เพราะฉะนั้น ปัญญาคือ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ฟังธรรมะไม่ใช่เราไปคิดมากเกินกว่านั้น!! แต่ให้เข้าใจจริงๆ ว่า ผู้ที่ไม่มีโลภะคือพระอรหันต์ แต่ว่า...กว่าจะ..ไม่มีโลภะ...ต้องค่อยๆ ...มักน้อย...หรือจะใช้คำว่า...มีความยินดีในสิ่งที่มี...เป็นต้น...ก็ค่อยๆ ไปตามลำดับ...ไม่ใช่เราจะมาท่องจำว่า (กถาวัตถุ) สิบ อะไรบ้าง? แล้วเดี๋ยวนี้!! คืออะไร? ไปนั่งทบทวนค้นหา มันก็เสียเวลา!! แต่เวลาที่เราเข้าใจว่า ทั้งหมดนี้ เป็นธรรมะ!! สำคัญที่สุดคือ ยากแสนยาก เห็นก็เป็นธรรมะ แล้วก็เกิดด้วย แล้วก็ดับด้วย คิดเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมะ เกิดด้วย ดับด้วย ไม่ปรากฏเลยสักอย่าง!! แต่ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา!!!
เพราะฉะนั้น ฟังแล้วก็ "เข้าใจขึ้น" ทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย ปัญญาเขาก็ทำหน้าที่ตามลำดับ
พี่กฤษณา อย่างสันโดษ ที่ว่ายินดีที่มี พอใจตามได้ คืออบรมจากตรงนี้ก่อน
ท่านอาจารย์ ให้มีความเข้าใจว่า โลภะนี้มากแค่ไหน? และจะหมดทีเดียวนี่ได้ไหม? ถ้าไม่ได้ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าโลภะของเราระดับไหน? หรือว่าสิ่งนี้ที่เรามี เราอยากได้ของคนอื่น มีไหม? อย่างนี้ แต่ละเล็ก แต่ละน้อย ทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปติดคำว่า สันโดษแปลว่าอะไร? สันตุฏฐี อะไรต่ออะไรอยู่ตรงไหน แต่ทั้งหมดคือ ให้เข้าใจว่าโลภะ และกำลังมีด้วย แล้วอยู่ที่ไหน? มากน้อยแค่ไหน? ไม่อย่างนั้นเราเอามาทีละคำแล้ว ใช่ไหม? ทีละคำก็ ไม่ได้เข้าใจ "สิ่งที่กำลังมี"
โลภะเดี๋ยวนี้แค่ไหน? เห็นไหม? เดี๋ยวนี้...แค่ไหน?...จะไปเอาคำไหนมาใส่ดี? ในพระไตรปิฎกที่เราผ่านมากี่คำ กี่คำ มาเลือกกันดู จะเอาคำไหน ไม่ต้องเลย!! สภาพธรรมะกำลังมีเดี๋ยวนี้แหละ!! "เห็น" ก็ติดข้อง แล้วไม่รู้!!
เพราะฉะนั้น ก็ฟังธรรมะว่าเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่สะสมมา ที่จะมีการเห็นประโยชน์ แล้วก็ มีบุญแค่ไหนที่มีโอกาสได้ฟังคำที่ทำให้ค่อยๆ ละคลายความต้องการ ไม่ใช่ทำให้ ฟังแล้วยิ่งอยากได้ ยิ่งขวนขวาย ยิ่งทำผิด!!
เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทวนกระแสของชาวโลก เพราะเขาคิดว่าต้องทำ!! ต้องขวนขวาย!! แต่เขาไม่รู้ว่า อะไรทำ? มิจฉาทิฎฐิความเข้าใจว่ามีเราใช่ไหม? ที่กำลังทำ!! เพราะฉะนั้น จึงเป็นมิจฉามรรค!! คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เกื้อกูลให้ไตร่ตรอง ให้คิดว่า ขณะนั้น ผิดหรือถูก?
เพราะฉะนั้น ก็ "เป็นปกติ" ทุกอย่าง ฟังเพื่อเข้าใจ "สิ่งที่กำลังมี" แต่ก็ยาก เพราะเหตุว่า กำลังมีนี้ เหมือนจมอยู่ใต้มหาสมุทร ไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเลย!! เพราะอวิชชาปิดกั้น!! เพราะฉะนั้น เรารู้เลย "เพราะไม่รู้" จึงไม่สามารถที่จะรู้ว่า "ขณะนี้ไม่ใช่เรา" กำลังเป็น "เห็น" บ้าง "ได้ยิน" บ้าง พวกนี้ จนกว่าปัญญาเขาจะ ค่อยๆ เผย เป็น "ตัวปัญญา" เอง ที่ "เริ่มเข้าใจ" ใครก็ทำอะไรไม่ได้!! เพราะ ไม่มีใคร!!! มีแต่ "ความเห็นถูก" ที่ค่อยๆ สะสม อบรม เก็บ สะสมไป
เพราะฉะนั้น ใจที่มากด้วยกิเลส ที่สกปรก ที่เน่า สารพัดอย่าง ด้วยกิเลสนานาประการ กว่าจะค่อยๆ รักษา ด้วย "คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
คุณปริญญา กราบท่านอาจารย์ครับ ศึกษามาก็พอสมควร ถ้าพูดถึงว่า ความต่างระหว่างรูปธรรมกับนามธรรม ก็พูดได้ แต่จริงๆ ลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏ เข้าใจแล้วหรือยัง?
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง!! แล้วถ้ายังไม่เข้าใจ?
คุณปริญญา ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็แสดงว่า ขณะนั้นยังไม่มีความถูกต้อง...
ท่านอาจารย์ ฟังต่อไป จนกว่าปัญญา "ละความคิด" ว่า ทำอย่างไร?
คุณปริญญา แล้วขณะที่ยังไม่เข้าใจ แต่ว่า...
ท่านอาจารย์ ก็ฟังต่อไป จนกว่า จะรู้ว่า ละ...คือ อะไร? แม้ใน "ขั้นการฟัง" "ขั้นปฏิเวธ" เดี๋ยวนี้เห็น เกิดแล้วดับแล้ว ละ...มีสภาพธรรมะอื่นปรากฏ จึงรู้ได้ ถ้าไม่ละตรงนั้น สภาพธรรมะที่เกิดต่อก็ไม่รู้!! นั่นคือ ขณะที่สภาพธรรมะปรากฏจริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ สูงสุดคือว่า ละการยึดถือ "เห็น" ที่กำลังปรากฏ ซึ่งเกิดดับ ขณะนั้น ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งก็ละการที่เห็นสภาพธรรมะที่ปรากฏตามการเกิดดับ เป็นปัญญาแล้วใช่ไหม? ละแล้วสภาพธรรมะอื่นเขาก็ปรากฏอย่างนั้นได้!! เพราะละตรงนั้น!! เพราะฉะนั้น คำว่า "ละ" นี้ ไม่ได้ละอื่น "ละ" ตรงที่กำลังมีนี่แหละ นี่ขั้นปฏิเวธ!!!
ทีนี้ ขั้นปฏิปัตติ ถอยลงมา เดี๋ยวนี้ ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด รู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ ละ...หรือว่า..สงสัย..หรือทำอย่างไรจะมีมากๆ ? นี่ก็เป็นความต่างกันแล้ว ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น นี่คือขั้น ปฏิปัตติ ขั้นปริยัติ ฟังอย่างไร? จึงจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา? ไม่ต้องไปทำอะไร!! เพราะฉะนั้น จากอันนี้ไปถึงอันโน้น ไปถึงอันโน้น ไปถึงอันโน้น เป็นเรื่อง "ละ" โดยตลอด!!!
คุณปริญญา กราบท่านอาจารย์ครับ บางครั้งบางคราว ตัวเองเหมือนกับท่องครับ เห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดา "คิด"ก็เป็นธรรมดาหรือเปล่า? เกิดแล้ว!! ให้ "รู้ตรงที่เกิดแล้ว" ไม่ใช่ให้ไปสงสัยอะไรทั้งสิ้น!! แต่ "ไม่รู้ตรงเกิดแล้ว" ก็มีแต่ไปข้างหน้าอยู่เรื่อย!!!
คุณปริญญา ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี กำลังเป็น...
ท่านอาจารย์ จะเห็นความเป็นอนัตตาว่าเราไม่ได้ทำ!! ไม่มีเรา ไม่มีใครไปทำอะไรเลย ทั้งสิ้น!! เกิดแล้ว!! ปรากฏด้วย!! ให้รู้ว่าเกิดแล้วด้วย!! แต่ไม่ประจักษ์การเกิดและการดับ เพราะปัญญาไม่พอ!!!
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่อง "ฟัง" อย่างเดียว!!! "สาวก" ติดตามพระผู้มีพระภาคฯ เวลาที่พระองค์เสด็จจาริกไปที่อื่น "เพื่อฟัง"
คุณปริญญา และขณะที่ฟัง มีการพิจารณาไตร่ตรอง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราเลย!! ไม่ต้องมีตัวเราไปซ้อน ที่จะพิจารณา ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ศึกษามาแล้วใช่ไหม ว่าเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป กว่าจะเป็นจิตเจตสิกรูปคือ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ยากแค่ไหนกว่าจะทั่วทั้งหมด ไม่เหลือ การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่เป็นธาตุรู้ก็เป็นธาตุรู้ หลากหลายมาก ทั้งจิตทั้งเจตสิก สภาพของรูปธรรมแต่ละรูป ก็มีปรากฏในชีวิตประจำวัน ที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ดอกกุหลาบ หรือโต๊ะ หรือคน คิดดู แต่ละทาง ต้องชัดเจน!!! เพราะฉะนั้น ฟัง แล้วก็ เข้าใจ!!!
คุณฟองจันทร์ เมื่อวันก่อนท่านอาจารย์ได้พูดคำว่า "คิดว่าจะละกิเลส ก็เป็นกิเลสแล้ว" แล้วก็มีผู้แสดงความคิดเห็นมาว่า คิดด้วยกุศก็ได้ มิฉะนั้น คนที่คิดจะออกจากวัฏฏะ ก็เป็นกิเลสหมด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เขาก็คิดไปสิ!! ไม่ใช่เพียงแต่จะบอกว่าเป็นกิเลสหรือเป็นกุศลหรืออกุศล แต่ต้องตรง เพื่อปัญญาของคนนั้นจะได้รู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร? เอาละ เราคิดที่จะละกิเลส กุศลหรือเปล่า?
คุณฟองจันทร์ ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เห็นไหม? อย่างนี้ แล้วจะบอกว่าเป็นกุศลหรือ? เพราะฉะนั้น การที่คิดนี่มันง่าย แล้วก็เข้าใจด้วยว่าเป็นกุศลด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น ก็คิดว่าทั้งวันที่เขาคิด คือกุศลหมด แต่ความจริงต้องละเอียดกว่านั้น
คุณฟองจันทร์ นี่คือเป็นผู้ที่เคยฟังท่านอาจารย์มาก่อน
ท่านอาจารย์ ทั้งนั้นแหละ ฟังกันมาแล้วทั้งนั้น!! ยี่สิบสามสิบปี ก็มีความคิดหลากหลาย ต่างๆ กัน ทั้งคนฟัง ทั้งคนไม่เคยฟัง ทั้งคนเก่า ทั้งคนใหม่ เป็นเรื่องของการสะสมของกิเลส ซึ่งมากน้อยต่างกัน แล้วแต่ว่าความเข้าใจอันนั้น จะทำให้เข้าใจขึ้นแค่ไหน
คุณฟองจันทร์ เพราะฉะนั้น ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมะไม่สาธารณะกับทุกคนก็จริง ผู้ที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนเท่านั้น ถึงจะเข้าใจ ถึงได้มีความเห็นผิด
ท่านอาจารย์ เพียงแค่ "คิด" นี่ แต่ลองแสดงความเข้าใจของเขามากกว่านี้สิได้ไหม? ถ้าไม่ได้ก็คือว่า ใช่ไหม? ที่ว่า จะละกิเลส เป็นกุศลแล้ว แต่ตัว "อยากละ" น่ะอยู่ไหน? เห็นไหม?
คุณฟองจันทร์ ใช่ค่ะ ตรงนั้นที่เขาไม่เข้าใจ เขาถึงได้คิดว่าเป็นกุศล ก็เป็นกุศลแล้ว แต่ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ คิดตรงกุศลหรือเปล่า? จะละกิเลส ปัญญามีที่ไหนล่ะ?
คุณนภา คิดที่จะละกิเลส เป็นกิเลส เพราะว่าขณะนั้นเป็นเราที่คิด จริงๆ ขณะที่ละ ไม่มีเรา เป็นปัญญาที่กำลังละ แต่ก็ยังไม่รู้
คุณฟองจันทร์ เพราะฉะนั้น ใครที่สะสมมาที่จะคิดอย่างนั้น เขาก็คิด
ท่านอาจารย์ เราไม่สามารถที่จะรู้ใจของใครได้เลยทั้งสิ้น!! เพราะฉะนั้น เราจะไม่วิพากย์และไม่วิจารณ์ความคิดของใคร เพราะเกิดแล้วดับแล้ว แต่แต่ละคน สามารถที่จะรู้จักตัวเองได้โดยความเป็นผู้ละเอียด ว่าขณะใดเป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งความจริงรู้ไม่ได้เลย เพราะว่าดับแล้ว!! ต้องปัญญาอีกระดับหนึ่ง แล้วก็ต้องตามลำดับด้วย!! ขณะนั้นถึงจะรู้ว่าลักษณะของธาตุรู้ ไม่ใช่เรา ก่อน จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็คือต้องเป็นธาตุรู้ ไม่ใช่ไปนั่งเจาะทีละอัน ว่านี่กุศลหรืออกุศล ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ก็เพื่อเข้าใจ เท่านั้นแหละ!!!
คุณฟองจันทร์ เขาก็คิดว่าเขาเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ ใครจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ใครจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่!!
คุณอรวรรณ ท่านอาจารย์คะ ถ้าอย่างนี้ ดูเหมือนว่าต้องตั้งต้นว่า เข้าใจสิ่งที่กำลังมี...
ท่านอาจารย์ คือจริงๆ แล้ว เราไม่ต้องไปนั่งเสียเวลากับการว่า มันตั้งต้นอย่างไร? เมื่อไหร่? ใครคิดอย่างไร? เอา "ความเข้าใจ" ว่า ฟังอย่างนี้ เข้าใจแค่ไหน? เท่านั้นแหละ!! เป็นประโยชน์แล้ว ว่าฟังอย่างนี้ เข้าใจแค่ไหน? "เห็น" อย่างนี้ เกิดดับ เข้าใจแค่ไหน? รู้เลย มันไม่ใช่ขณะที่กำลังประจักษ์แจ้ง!! ให้ "รู้ความจริงไว้"
เพราะฉะนั้น จะถึงอันนั้นได้อย่างไร? ถ้าไม่มีปัญญา ทีละเล็ก ทีละน้อย คือ ละไปเรื่อยๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย แม้แต่ในขั้นการฟัง หรือในขั้นการคิด!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณกุสุมา โกมลกิติและครอบครัวชัยศรีโสภณกิจ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
.........
ขอชิญคลิกชมตอนที่ผ่านมาทั้งหมดได้นี่...
กราบแม่
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๙-๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๒๒-๒๔ กันยายน ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๖-๘ กันยายน ๒๕๕๙
เป็นประโยชน์อย่างยิ่งค่ะ ชัดเจนมากค่ะ กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่วันชัย ภู่งาม (เรียบเรียงได้ดีมากๆ ด้วยค่ะ) ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพและทุกๆ ท่านด้วยค่ะ