ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๐
~ ถ้าไม่มีความเห็นชอบ อกุศลธรรมย่อมเกิดอยู่เรื่อยๆ มีความติด มีความยึดมั่น เหนียวแน่นในตัวตน ในสัตว์ ในบุคคล ในเรา ในเขา อย่างเต็มที่ทีเดียวตามความเห็นผิด ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ถ้ามีความเห็นถูกเกิดขึ้น แล้วเจริญพอกพูนขึ้น อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดก็ย่อมไม่เกิด เพราะมีความเห็นถูกเกิดขึ้นแล้ว หรือแม้อกุศลธรรมที่เกิดแล้ว ย่อมเสื่อมไป
~ พระธรรมวินัยทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้ จะไม่เว้นจากการที่เตือนให้พุทธบริษัทไม่ประมาทในการเจริญกุศล
~ บางครั้งบางขณะอกุศลธรรมก็เกิดขึ้น ท่านอาจจะไปเพลิดเพลินกับการเล่นหรือว่ามหรสพ แต่พื้นของใจคือกุศลมูลยังมี เพราะฉะนั้น ท่านก็มีปัจจัยที่จะทำให้กุศลนั้นเจริญงอกงามต่อไป คือ ยังมีการฝักใฝ่ที่จะหันมาสู่การเจริญกุศล เป็นผู้ที่เจริญงอกงามต่อไป
~ กุศลเพิ่มขึ้นเป็นขั้นๆ ซึ่งก็จะต้องเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่รังเกียจกลัวบาปอย่างแท้จริง
~ เรื่องของกรรม ยุติธรรมจริงๆ แต่ละคนที่เกิดมาแล้วก็ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ไม่ว่าจะได้อะไร จะเสียอะไร เป็นเพราะผลของการกระทำของท่านเองทั้งหมด เพราะเหตุว่าธรรมนั้นยุติธรรม ไม่ได้รับสินบนจากใคร ก็เรื่องของกรรมก็เป็นเรื่องของเหตุของผล ซึ่งใครจะไปไหว้วอนกราบไหว้ เปลี่ยนกรรม ชนิดหนึ่งว่าอย่าให้ผลอย่างนั้นหรือว่าให้ผลเร็วกว่านั้นหรือให้ผลช้ากว่านั้นก็ไม่มีใคร ที่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของความยุติธรรมอย่างยิ่งของธรรม
~ ที่ว่าเป็นพาลนั้นก็เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่สะสมความตระหนี่ สะสมอกุศลธรรม สะสมความติดใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ในวัตถุ ในโภคทรัพย์ ถ้าในปัจจุบันชาติท่านสะสมอกุศลธรรม สะสมความตระหนี่ไว้มาก ชาติหน้าจะตระหนี่น้อยลงได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การสละ การละก็ยากขึ้นด้วย
~ คงจะมีท่านที่มีญาติมิตรสหายที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แล้วก็สิ้นชีวิตลงโดยไม่ได้ใช้ทรัพย์สมบัตินั้น เมื่อไม่ได้ให้ทรัพย์สมบัติ เมื่อไม่ได้ให้ทานในโลกนี้ ในโลกหน้าก็เอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ขัดเกลาจิตใจ ละความตระหนี่ ท่านก็จะได้สะสมบุญ คือ การขัดเกลาจิตใจที่เบาบางจากอกุศลธรรมให้น้อยลง ติดตามไปในโลกหน้าได้
~ ถ้าไม่ลืมความจริงข้อนี้ คือ ไม่ลืมความจริงว่าจะต้องตาย แล้วก็ไม่ลืมความจริงว่าหลงชีวิตเสียเหลือเกิน ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านเจริญกุศลทุกประการ
~ ธรรมที่เป็นที่พึ่งนั้นเป็นกุศล อกุศล พึ่งไม่ได้เลย แต่ธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ นั้นต้องเป็นกุศล แต่ว่ายากที่จะเกิด เพราะเหตุว่าเมื่อสะสมอกุศลมามาก ก็ย่อมมีปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าธรรมใดเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในคุณของธรรมนั้น คือคุณของกุศล ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้เจริญกุศลทุกประการอย่างละเอียด เพราะเหตุว่าเห็นโทษว่า อกุศลธรรมนั้นมีกำลังมากกว่า เพราะเหตุว่าสะสมมากกว่า
~ เวลาที่จะทำกุศลแต่ละครั้ง จะเห็นได้ว่า จะต้องมีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในธรรมที่เป็นกุศล
~ ลองพิจารณาสภาพจิตของท่านเอง ว่าเคยมุ่งหวังที่จะให้คนที่ประพฤติไม่ชอบ ได้รับโทษ ได้รับภัยอันตรายต่างๆ อย่างร้ายแรงหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จิตของท่านเองทำร้ายตัวของท่านเอง เพราะบุคคลอื่นไม่ได้เป็นไปตามความคิดของท่าน แต่ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา เพราะฉะนั้น เขาย่อมได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นเอง โดยที่ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องไปหวังร้าย หรือว่าคิดร้ายต่อบุคคลนั้นเลย เหมือนกับคนที่เห็นคนอื่นตกลงไปในกองไฟ ก็ยังคิดจะกระโดดลงไปทำร้ายต่อบุคคลที่ตกอยู่ในกองไฟนั้น ซึ่งผลก็คือ ตัวท่านเองย่อมเป็นผู้ที่ได้รับภัยจากไฟนั้นด้วย
~ เมื่อใจของท่านไม่เบียดเบียน กาย วาจา ก็ย่อมไม่ประทุษร้าย ไม่เบียดเบียนด้วย เพราะก่อนที่จะมีการกระทำทางกาย ทางวาจา จิตใจคิดมากมายนับไม่ถ้วน ยังไม่ได้ทำเลย คิดเสียก่อนมากมายแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยกุศลหรืออกุศลก็ตาม ก็จะต้องเป็นไปตามความคิดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีใจที่ไม่ประทุษร้ายเบียดเบียน กาย วาจา ก็ย่อมไม่เบียดเบียนด้วย
~ อกุศลธรรมของคนอื่นสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิต คือ เมตตาของท่านเกิดได้ เพราะกุศลธรรม ตั้งใจไว้ชอบ ไม่มีประโยชน์เลยในการที่จะเกิดโทสะ แต่ว่าถ้าเกิดเมตตา เวลาที่เห็นคนอื่นกระทำอกุศลกรรม ก็ดี หรือว่าสภาพจิตใจของคนนั้นเป็นอกุศล ก็ดี ควรที่จะมีเมตตาว่า บุคคลนั้นจะต้องสะสมอกุศลจิตและอกุศลกรรมไปมากมาย ควรที่จะมีเมตตาอย่างยิ่ง
~ เข้าใจ คือ ปัญญา รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น เมื่อรู้แล้ว ก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ทำในสิ่งที่ผิด ปัญญา เป็นสภาพที่เข้าใจถูกเห็นถูก เมื่อเข้าใจว่าอะไรดี ก็นำไปสู่ทางที่ดี เมื่อรู้ว่าอะไรไม่ดี ก็ไม่ไปสู่ทางที่ไม่ดี
~ เมื่อมีความเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในพระธรรมที่ทรงแสดง ก็เป็นการเคารพอย่างยิ่ง บูชาพระองค์ยิ่งกว่าดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะใดๆ ด้วยการฟังคำที่ควรฟัง แล้วก็มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตาม ที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ นั่นคือการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกเวลา
~ การฟังธรรมไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลที่จะทำให้ท่านผู้ฟังได้เข้าใจความละเอียดของสภาพธรรม เพื่อสติจะได้ระลึกตรงลักษณะที่ปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง อกุศลธรรมก็เป็นอกุศลธรรม กุศลธรรมก็เป็นกุศลธรรม สภาพธรรมแต่ละอย่างนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถ้าสติระลึกตรงลักษณะรู้ชัดในสภาพธรรมนั้น สภาพธรรมนั้นก็ปรากฏความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์แล้วก็จะละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตน
~ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ไม่ได้บังคับให้อะไรเกิดได้ แต่ความเข้าใจยิ่งขึ้นก็จะค่อยๆ ทำให้อกุศลเบาบางลง เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย จะโกรธใคร มีประโยชน์กับใคร แม้แต่ตัวเอง มีประโยชน์หรือเปล่า? จิตเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริง ก็จะมีเมตตาแทน
~ ถ้าตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ ไม่มีวันที่จะพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ จะต้องมีการตายแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีก อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ
~ เริ่มไม่ดี ตั้งแต่ไม่รู้
~ ความเดือดร้อน วุ่นวายทั้งหมด มาจากความไม่รู้
~ พึ่งความเห็นถูกต้อง
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง
~ ถ้าไม่ใช่คำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ คำนั้น ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ การฟังธรรมด้วยความไม่ประมาท ก็จะทำให้เป็นผู้อยู่ในหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ออกไปนอกทางที่จะไปทำอย่างอื่นที่คิดว่าหนทางนั้นจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
~ มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ฟัง ด้วยความเคารพเพื่อจะรู้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางเดียวเพื่อละความไม่รู้ซึ่งจะทำให้ละกิเลสทั้งหลาย จนกระทั่งสามารถที่จะดับหมด ไม่เกิดอีกเลย
~ ไม่มีอะไรที่จะเสมอเท่ากับความเข้าใจถูก ที่จะทำให้ความทุกข์นั้นคลายลงได้ จะเอาทรัพย์ที่ไหนมาซื้อให้ความทุกข์นั้นหมดไปบ้างได้ไหม ไม่ว่าทรัพย์ในมนุษย์หรือในสวรรค์ทั้งหมด คนที่กำลังทุกข์โศก ไม่สามารถที่จะหมดความทุกข์โศกได้เพียงด้วยทรัพย์ แต่ว่าสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นคือสามารถที่จะทำให้หมดความทุกข์โศกซึ่งทรัพย์ใดๆ ก็ทำให้ไม่ได้ นอกจากการได้เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
~ ตรงต่อความจริง เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ความจริงเป็นอย่างไรก็ต้องตรงต่อความจริงนั้น
~ ตรงตั้งแต่ขั้นต้นว่า ธรรมคืออะไร? ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ , ฟังธรรมต้องเริ่มตรงว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ใครๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตรงทุกคำต่อคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเกิดจากการที่ทรงตรัสรู้
~ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น คำนี้ ตรงไหม? ตรง
~ ฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับว่า ไม่ได้ฟังเรื่องอื่น แต่ฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้จนกว่าจะเข้าใจขึ้น
~ การฟังธรรม ก็คือ ฟังเรื่องของธรรม และก็เป็นผู้ตรงต่อทุกคำ ที่จะเป็นผู้ที่ศึกษา ฟัง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ ไปสำนักปฏิบัติหรือมีสำนักปฏิบัติ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ตรงต่อคำที่ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"
~ เสียหายอะไรที่จะพูดคำจริง เป็นประโยชน์หรือเปล่าที่จะให้คนที่ไม่รู้ คนที่ไม่ตรง ได้เริ่มพิจารณา ให้รู้ ให้ตรง เพื่อประโยชน์ คือ จากที่เคยเข้าใจผิด เคยหลงผิด เคยทำผิด ก็จะได้รู้ความจริง ว่า "ผิด" แล้วไม่ทำอย่างนั้นอีก
~ เวลาที่เราทำความดีแต่ละครั้ง เราสละความไม่ดี ในขณะที่ทำ
~ กุศลนำมาซึ่งกุศลวิบาก ให้กันไม่ได้ แต่ผู้ที่หวังดี มีกุศลจิต ก็เป็นกุศลจิตของผู้ที่หวังดี แต่จะให้ผลไปเกิดกับคนอื่น ไม่ได้ ผลนั้น ย่อมเกิดจากกุศลของตนเอง
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ตกไปสู่ความเห็นผิด
~ เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ความเข้าใจ ไม่ได้นำทุกข์โทษภัยหรือความโศกเศร้ามาให้เลย ไม่ว่าขณะใดทั้งสิ้นที่เข้าใจธรรม ปลาบปลื้มยินดีที่ได้เข้าใจ ผ่องใส พ้นจากความทุกข์
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๕๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...