ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร [วิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ] ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมในหัวข้อ "วิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ" โดยมีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์จักรกฤษณ์ เจนเจษฎา อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ปธ.๙ เป็นผู้ร่วมสนทนา ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น ๒ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.
ความเป็นมาของการดำริให้มีการจัดสนทนาธรรมในหัวข้อ "วิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ" ในครั้งนี้ก็เนื่องมาจากที่เมื่อสองสามปีที่แล้ว มีผู้ฟังธรรมชาวไทยท่านหนึ่งที่เคยทำงานอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและเดินทางกลับมาอยู่ประเทศไทยหลังเกษียณอายุ เมื่อกลับมาอยู่เมืองไทยก็อยากที่จะศึกษาเข้าใจพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง จึงเดินทางไปตามวัดต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ซึ่งก็ได้พบกับประสบการณ์มากมายจากพิธีกรรมและการเผยแพร่ธรรมที่ท่านรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ และเพราะบุญแต่ปางก่อน ทำให้ท่านผู้นั้นได้พบพระธรรมในหนทางที่ถูกต้องจากการบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งท่านได้เทปของท่านอาจารย์จากพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเมื่อฟังเข้าใจ ก็ทราบถึงความแตกต่างของความรู้และความไม่รู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
จนมาวันหนึ่ง ท่านผู้นี้ได้ปรารภในที่สนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ แสดงความห่วงใยว่า พระพุทธศาสนาและพระภิกษุในปัจจุบัน มีการประพฤติปฏิบัติที่ห่างไกลจากพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติและแสดงไว้เป็นอันมาก การประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุ รวมทั้งการแสดงพระธรรม ความจริงจากการทรงตรัสรู้ เต็มไปด้วยความเห็นผิด คิดเอง ไม่ตรงตามพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ มีการกล่าว แสดง หนทางของการไปสู่การรู้ความจริงที่ทรงแสดงด้วยการคิดเอง ทั้งเต็มไปด้วยแบบแผน วิธีการปฏิบัติที่ผิด จนทั่วโลกเข้าใจผิดคิดว่า พระพุทธศาสนาคือการทำสมาธิ และการปฏิบัติธรรม โดยการไปนั่ง นอน ยืน เดิน ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ด้วยความเป็นตัวตน ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ลืมหัวใจของพระพุทธศาสนาที่ได้ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา บังคับบัญชามิได้ (คลิกอ่าน.. สัพเพ ธัมมา อนัตตา) เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หาใช่การบังคับธรรมใดๆ ให้เกิดขึ้นตามความติดข้องต้องการ ด้วยความเป็นตัวตนของบุคคลใดผู้ใดเลยทั้งสิ้นไม่
มีการตั้งสำนักปฏิบัติธรรมมากมายใหญ่โตโดยภิกษุทั้งหลายที่ไม่ศึกษาและแม้ศึกษา แต่ไม่เข้าใจธรรมและหนทางที่ทรงแสดง เป็นเหตุให้มีการเผยแพร่ความเห็นผิดเพราะคิดเอง เผยแพร่วิธีปฏิบัติและการกระทำต่างๆ มีแบบแผน วิธีการต่างๆ ด้วยความไม่รู้ แพร่หลายไปในวงกว้าง ทั่วประเทศและทั่วโลก ในขณะนี้ มิพักต้องกล่าวถึงแม้ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรม สอนพระอภิธรรม ที่ตั้งสำนักปฏิบัติเสียเอง เพราะเข้าใจพระอภิธรรมผิด คิดว่าเป็นเพียงเรื่องราว เพียงตัวหนังสือ ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรม มิได้ฉงนใจเลยว่า เรื่องราวของพระอภิธรรมที่ได้ศึกษาเล่าเรียนนั้น หาได้มีอยู่ในหนังสือไม่ แต่กำลังมีตัวจริงๆ ของสภาพธรรมแต่ละชนิด แต่ละประเภท มีจริงๆ กำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้า ในขณะนี้!! ซึ่งล้วนเป็นแต่ธรรมทั้งสิ้น ไม่ใช่เรา ทั้งเป็นอนัตตา บังคับบัญชามิได้!!
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านเริ่มศึกษาพระอภิธรรมที่พุทธสมาคม กับ อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ อาจารย์บุญมี เมธางกูร คุณพระชาญบรรณกิจ คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ (ขอเชิญคลิกอ่าน ... ประวัติ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์) และเริ่มบรรยายพระอภิธรรมตามสถานที่ต่างๆ นับแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ เป็นต้นมา จนบัดนี้ก็รวมระยะเวลากว่าหกสิปีมาแล้ว
ตลอดระยะเวลาหกสิบปีที่ผ่านมา จากการศึกษาและเข้าใจพระอภิธรรมของท่าน ท่านอาจารย์มุ่งมั่นที่จะบรรยาย แสดงธรรมและสนทนาธรรม เผยแพร่พระธรรมทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือ และสื่อต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทุกคนที่ได้พบ ได้ยิน ได้ฟัง จะมีความรู้ความเข้าใจขึ้นในธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่งผลของการที่ได้เผยแพร่ธรรมในช่องทางต่างๆ ดังกล่าว ทำให้มีผู้ที่ได้พบกับหนทางที่ท่านแสดงนี้เป็นจำนวนมาก (ขอเชิญคลิกอ่าน ... หมุนเจอ เปิดเจอ อ่านเจอ ฯลฯ จนได้ฟังธรรมจาก ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้อย่างไร) ไม่เพียงในประเทศไทย แต่แพร่หลายไปไกลถึง สหรัฐอเมริกา อังกฤษ โปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ฯลฯ และล่าสุดคือประเทศเวียดนามและไต้หวัน แต่เดิมมาท่านอาจารย์และมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งหมายรวมถึงวิทยากรและลูกศิษย์ลูกหา สหายธรรมทั้งหมด ล้วนให้ความสนใจ ฝักใฝ่แต่ในหนทางของการฟังและเข้าใจธรรม การประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมตามที่ได้มีพระมหากรุณาทรงแสดงไว้ว่าเป็น หนทางเดียว (ขอเชิญคลิกอ่าน สติปัฏฐาน ทางสายเอก) จนข้าพเจ้าเอง แต่ก่อนนี้ก็ต้องขอยอมรับว่า ข้าพเจ้าเคยคิดว่าท่านทั้งหลายที่ศึกษาเข้าใจและประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอยู่ที่มูลนิธิฯนี้ ไม่สนใจใยดีต่อสังคมชาวพุทธรอบข้างเลย ห่วงแต่กุศลของตนเอง เมื่อมีใครกล่าวถึงหรือสอบถามท่านวิทยากรถึงความเห็นผิดต่างๆ ในสังคม ความประพฤติผิด ความเห็นผิดของพระภิกษุต่างๆ มากมาย ท่านก็มักระมัดระวัง หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงหรือติเตียนอย่างชัดเจน มั่นคงแต่การที่จะแสดงธรรมเพื่อความเข้าใจ และน้อมไปสู่การประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นประการสำคัญ
จนเมื่อมีผู้นำความเป็นไปในสังคมของชาวพุทธภายนอกมาปรารภบ่อยๆ ในที่สนทนาธรรม ท่านอาจารย์จึงทราบว่า พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน มีความวิกฤตมากมายใหญ่โตถึงปานนี้ การที่ภิกษุมีการรับเงินและทอง ใช้ชีวิตเยี่ยงคฤหัสถ์ เดินตามห้างสรรพสินค้าใช้จ่ายเงินซื้อข้าวของเครื่องใช้ เข้าร้านอาหารและร้านกาแฟซื้อกาแฟดื่มเอง ขับขี่ยวดยานพาหนะต่างๆ ท่องเที่ยวบิณฑบาต เรี่ยไรสร้างโบสถ์วิหาร เรี่ยไรเงินสร้างถาวรวัตถุใหญ่โต กระทำการทุจริตเรื่องเงินและทองจนเป็นข่าวคราวใหญ่โต สร้างรูปเคารพนอกศาสนา ฯลฯ ซึ่งล้วนไม่ใช่กิจของพระภิกษุเลยทั้งสิ้น สาเหตุหลักมาจากเงินและทองอันนำมาซึ่งกามคุณทั้ง ๕ อันบรรพชิตควรละ แต่กลับกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทุกคนจะเห็นได้ว่า เมื่อพูดถึงการทำบุญ กลับกลายเป็นเรื่องเงินและทองไปเสียสิ้น เข้าวัดไหนๆ ก็มีแต่เรี่ยไรเงินจากญาติโยมสร้างโน่นสร้างนี่ไม่รู้จบ แม้กระทั่งการบวชก็มีการรับเงินตั้งแต่พระอุปัชฌาย์ลงมา ทั้งภิกษุที่เพิ่งอุปสมบทก็มีอาบัติตั้งแต่บวชเสร็จใหม่ๆ โดยการที่ญาติโยมที่มางานแย่งกันใส่เงินลงในย่าม ในบาตร นี่หรือคือพระพุทธศาสนา ศาสนาของผู้รู้ พระภิกษุมีสถานะเป็นหัวหน้าพุทธบริษัท แทนที่จะศึกษาพระธรรมวินัยประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส และแสดงหนทางที่ถูกต้องแก่ฆราวาส กลับกลายเป็นผู้มีความปรารถนาลามก รับเงินและทอง เรี่ยไรเงินและทอง สะสมเงินทอง ใช้ชีวิตเยี่ยงคฤหัสถ์ ดังที่พระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกว่า เศรษฐีหัวโล้นเห็นปานนี้
ท่านอาจารย์จึงดำริว่า พุทธบริษัททั้ง ๔ ในพระพุทธศาสนาครั้งพุทธกาลและแม้ในกาลปัจจุบัน ต่างมีภาระหน้าที่ที่จะต้องบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา ปกป้องรักษาพระพุทธศาสนาคือคำสอนที่ถูกต้อง อันเป็นหนทางไปสู่การดับทุกข์ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ การรักษาพระศาสนาหาใช่เพียงหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัทใดบริษัทหนึ่งไม่ แต่เป็นบริษัททั้งสี่ ที่จะต้องศึกษาเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งในกาลสมัยนี้ พุทธบริษัทคงเหลือเพียง ๓ เท่านั้น คือ ภิกษุ อุบาสก และอุบาสิกา สำหรับภิกษุณีนั้น ได้อันตรธานหมดสิ้นไปจากพระศาสนาแล้ว (ขอเชิญคลิกชม ... ยุคนี้ไม่มีภิกษุณี) ในครั้งพุทธกาล เมื่อภิกษุใดมีความประพฤติไม่เหมาะสมต่อความเป็นภิกษุ คฤหัสถ์ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา จนเป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกภิกษุนั้นมาสอบถามและทรงประชุมสงฆ์เพื่อทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส เมื่อวิกฤตเกิดขึ้นแก่พระศาสนาเช่นนี้ จึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนที่มีความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง จะร่วมแรงร่วมใจกัน แสดงพระธรรมวินัย เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อผู้เห็นผิด เข้าใจผิด จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องและแก้ไขสิ่งที่ผิด ทำตามในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อพระศาสนาจะดำรงมั่นคงสืบต่อไป ตามที่ทรงมีพระมหากรุณาตรัสไว้แก่ท่านพระอานนท์ ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า " ... ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใด อันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ... " ( [เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 320)
ท่านอาจารย์กล่าวว่า การที่ได้ศึกษาทั้งพระธรรมและพระวินัยจนมีความเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดง ก็ควรที่จะเผยแพร่ความเข้าใจนั้น ให้ท่านอื่นๆ ได้เข้าใจถูกต้องด้วย เพราะเหตุนี้ มูลนิธิฯ จึงมีชื่อว่า "มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา" ซึ่งแต่เดิมนั้น ได้เน้นหนักไปในเรื่องของพระสูตรและพระอภิธรรม เพื่อความเข้าใจธรรม เพื่อการประพฤติปฏิบัติธรรมในหนทางที่ถูกต้อง แต่มาในระยะสองสามปีนี้ ด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์ ที่เห็นถึงวิกฤตของพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอนมาอย่างยาวนาน จนความเข้าใจผิดนั้นได้ขยายออกไปในวงกว้าง พระภิกษุที่บวชเข้ามาแล้วไม่ศึกษาและไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย อันเป็นการย่ำยีพระศาสนา ชาวบ้านก็ไม่รู้พระวินัยที่ถูกต้อง เป็นสาเหตุของการส่งเสริมและบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจของผู้ที่คิดว่าตนเองเป็นชาวพุทธ ด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว ผู้ที่ทำร้ายและทำลายพระศาสนาจึงหาใช่บุคคลภายนอกพระศาสนาอย่างที่บางบุคคลเข้าใจไม่ แต่เป็นบุคคลที่คิดว่าตนเองนับถือพระพุทธศาสนานั่นเอง เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงโดยแท้
ท่านอาจารย์และมูลนิธิฯ ไม่อาจนิ่งเฉยต่อวิกฤตดังกล่าวนี้ จึงได้รวบรวมสรรพกำลังทุกประการเท่าที่มีอยู่ ในการรณรงค์ แสดงความจริง คำจริง ตามพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นวาจาสัจจะของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สู่สาธารณชนด้วยความเมตตา เป็นมิตร เป็นเพื่อน มีความปรารถนาดี เพื่อที่จะให้พระศาสนาคือคำสอน ดำรงอยู่เพื่อประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป (ควรที่จะบันทึกไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า วงดนตรีบ้านธัมมะแบนด์ ที่ท่านอาจารย์เมตตาตั้งชื่อให้ เป็นวงดนตรีเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่พระธรรมตามความถนัดของผู้ที่มาศึกษาธรรม ได้ทำการเปิดตัวในการแสดงเป็นครั้งแรกในการสนทนาธรรมคราวนี้)
อนึ่ง การกล่าวตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ หาใช่การกล่าวร้าย โจมตีบุคคลใดอย่างที่บางบุคคล บางหมู่คณะเข้าใจผิดไม่ แต่เป็นดังคำที่ว่า "พระธรรมยิ่งเผยแพร่ ยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง" ทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านอาจารย์และมูลนิธิฯเผยแพร่ ล้วนเป็นแต่เพียงการกล่าวคำจริง ความจริง ที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมวินัย ที่พระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เพื่อประโยชน์สูงสุดคือความเข้าใจจริงๆ ในพระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้นั้นเอง อันจะเป็นการธำรงรักษาพระศาสนาคือคำสอนที่ถูกต้องให้มั่นคง ยั่งยืน สืบไป ตราบนานเท่านาน อย่างแท้จริง
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความบางตอนจากการสนทนาในครั้งนี้ มาบันทึกไว้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง เพื่อที่ผู้สนใจจะสามารถติดตามฟังและสืบค้นได้อีกในภายภาคหน้า ซึ่งความรู้ความเข้าใจจากการฟังและพิจารณา จะเป็นประโยชน์ที่ยั่งยืน สืบไป
พันตรีหญิงศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี : มีคำถามเพิ่มอีกนิดหนึ่งนะคะ ถามว่า ถ้าแต่ละท่านแต่ละหนึ่งที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ นอกจากที่ว่า เริ่มต้นจากการฟังแล้ว ตนเองจะเป็นประโยชน์อย่างไรในการที่จะแก้วิกฤตทางพระพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ : ถ้าตนเองยังไม่รู้เหมือนเดิม แก้ได้ไหม? แต่ถ้ารู้ว่า เหตุต้นตอของวิกฤตคืออะไร แก้ได้ หาเจอหรือยัง? ต้นตอของวิกฤตคืออะไร? ถ้ายังไม่พบ แก้ไปเถอะทั้งโลก ไม่มีทางที่จะแก้ได้ ผู้พบคนแรกคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม พระองค์ทรงเป็นกัลยาณมิตร ผู้หวังดี ผู้เป็นเพื่อนที่ดี เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น!!
เพราะฉะนั้น เราจะรู้ได้เลย ทำไมเรามานั่งที่นี่ ไม่เคยรู้จักกันตั้งหลายท่าน แต่เพราะหวังดี จะมีคำที่เป็นประโยชน์ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของใครทั้งสิ้น ใครก็จะพูดอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย และคำของพระองค์จะทำให้เกิดความเข้าใจถูก เมื่อใครก็ตามศึกษาแล้วเห็นประโยชน์ ก็รู้ว่า ควรที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ดีไหม? หรือว่า ไม่ต้องพูดอะไรเลย ไม่ต้องกล่าวอะไรเลย ผิดก็ปล่อยให้ผิดไป ไม่แก้ไข
เพราะฉะนั้น จะแก้ไข ก็ต่อเมื่อเห็นจริงๆ ว่า ต้องรู้ต้นตอ และต้นตอของความผิด ความทุจริตทั้งหมด ไม่มีใครอยากเลว ไม่มีใครอยากชั่ว ไม่มีใครอยากโกง แต่ "เงินทอน" (คลิกอ่านข่าวที่นี่.. ปปง.อายัด บัญชี 134 ล้าน 4 อดีตเถระ คดีเงินทอน ) คิดดูถ้าไม่มีความละอายก็ทำได้ แต่คนที่ไม่ทำเพราะละอาย แล้วจะมีความละอายได้อย่างไร? "ละอาย" ละเอียดมาก จนกระทั่งละอายต่อความไม่รู้!!
เพราะฉะนั้น ก็รู้เลย ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครมีพระปัญญาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะแก้ปัญหา หนทางเดียวคือ แก้โดยการศึกษาเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น รู้ว่า ภิกษุคือใคร ภิกษุคือผู้ละอายต่อความไม่ดีทั้งหมด เพื่อที่จะละ ขัดเกลากิเลส ต้องประพฤติตามสิกขาบท ซึ่งทรงบัญญัติไว้ตั้งแต่ตื่นจนหลับ คำพูดใดไม่เป็นประโยชน์ เป็นโทษ เป็นทุภาษิต อาบัติ คิดดู นี่คือภิกษุในพระธรรมวินัย!!
เพราะฉะนั้น ถ้าภิกษุไม่ละอาย นั่นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะแม้คำพูดที่ไม่สมควรแก่การเป็นภิกษุ รู้สึกไหม? ว่านั่นเป็นกิเลส ละอายหรือเปล่า? ถ้าไม่ละอาย ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย!!
เพราะฉะนั้น แม้คำพูดซึ่งเราพูดเล่น และพูดกันทุกวัน แต่สำหรับพระภิกษุพูดไม่ได้ เพราะเหตุว่า เมื่อสละเพศคฤหัสถ์แล้ว ลองคิดดู ยากไหม? สละเพศคฤหัสถ์ วงศาคณาญาติ พ่อแม่พี่น้อง ความสะดวกสบายทุกประการในบ้าน อาหารอร่อย เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์ทั้งหมดของคฤหัสถ์ ไม่ใช่สำหรับผู้ละอายต่อกิเลส ที่จะขัดเกลากิเลส ละคลายกิเลส โดยการเข้าใจพระธรรม ความเข้าใจต่างหากละคลายกิเลส ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจธรรมะ ละกิเลสไม่ได้ ไม่มีทางเลย
แต่ผู้ที่เริ่มเข้าใจ ปัญญาเห็นว่า อะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว ปัญญานำไปในสิ่งทั้งปวง ถือเอาเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทิ้งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นต้องสำนึก แม้แต่พูดล้อเล่นเพื่อความสนุกสนาน สำนึกแล้วจะทำอย่างไร? ไม่ใช่คฤหัสถ์ ทำอย่างนี้ เป็นบรรพชิตทำได้ไหม? คฤหัสถ์ทำได้แต่บรรพชิตทำไม่ได้ สำนึกแล้ว ต้องปลงอาบัติ "ปลง" หมายความว่า รู้ว่าได้กระทำผิดต่อพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเพื่ออนุเคราะห์ให้ขัดเกลากิเลสในเพศที่สูงยิ่งคือสละทุกอย่างเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น ต้องปลงอาบัติ ปลงหมายความว่าแสดงโทษ รับรู้ว่าเป็นโทษ โดยไม่กระทำอย่างนั้นอีก จึงชื่อว่า "ลัชชี" มิฉะนั้นก็เป็น ภิกษุลามก ไม่ละอาย เป็น "อลัชชี" รู้จัก "ภิกษุ" หรือยัง?
เพราะฉะนั้น ภิกษุต้องฟังพระธรรม มิฉะนั้นจะเป็นภิกษุทำไม? และก่อนบวชก็ต้องรู้ด้วยว่าบวชทำไม? ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะทำอะไรก็บวช ย่ำยีพระศาสนา คิดว่าใครก็บวชได้ ไม่ต้องรู้อะไรก็บวช และบวชแล้วทำอะไร? เมื่อไม่รู้ไม่เห็นประโยชน์เลย ฟังพระธรรมหรือเปล่า? รักษาพระวินัยหรือเปล่า? ถ้ากระทำทั้งหมดที่ไม่ตรง คือ ธรรมะก็ไม่ศึกษา สิกขาบทก็ไม่ศึกษา ไม่ประพฤติตาม แล้วเป็นภิกษุหรือ? ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง มีการกล่าวถึงผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัยอย่างไรบ้างคะ คุณวิชัย
อ.วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ : ทรงแสดงระดับของความไม่ละอาย ที่ไม่ละอายต่ออกุศลแม้เพียงเล็กน้อย จนมีกำลังเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ ภิกษุผู้เป็นอลัชชี ก็คือ ล่วงละเมิดสิกขาบททั้งๆ ที่รู้อยู่ นี่คือภิกษุอลัชชี หรือภิกษุผู้ทุศีล หมายความว่า เป็นผู้มีความประพฤติเป็นไปในการล่วงละเมิดสิกขาบทโดยที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสิกขาบทที่พระองค์บัญญัติแล้ว ก็เป็นภิกษุทุศีล แต่ถ้ายิ่งกว่านั้น มีความประพฤติล่วงละเมิดยิ่งขึ้นไปอีกจนไม่หลงเหลือความเป็นบรรพชิตหรือสมณะเลย พระองค์ก็ตรัสว่า ถ้าบุคคลใดที่ไม่มีคุณภายใน แต่ทรงผ้ากาสาวพัตร พระองค์ทรงตรัสว่า เป็นภิกษุเพียงดังแกลบ เพราะว่าภายนอกเหมือนภิกษุ แต่ว่าคุณความดีภายในไม่มี ก็เหมือนข้าวที่ลีบ ไม่มีเนื้อภายใน หรือถ้ายิ่งกว่านั้นอีก ที่บางรูปถึงขั้นปาราชิกแล้วยังความเป็นภิกษุอยู่ ก็เหมือนภิกษุหยากเยื่อ คือเป็นสิ่งที่เขาไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ จึงทิ้งไป ไม่มีความสำคัญ อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร นี่ก็เป็นภิกษุหยากเยื่อ แต่ถ้าเป็นภิกษุที่มักมาก สะสมและแสวงหาบริขารในทางที่ไม่สมควร ก็มีคำกล่าวเพื่อจะแสดงว่านั่นไม่ใช่บรรพชิต เช่น เศรษฐีหัวโล้น เป็นต้น
นี่คือข้อความในพระไตรปิฎก ที่จะแสดงให้เห็นถึงความที่มีความละอายกับไม่มีความละอาย มีความต่างกัน เห็นถึงความประพฤติเป็นไปของธรรมะ ที่เมื่อศึกษาแล้ว ก็รู้ว่าผู้ใดที่ควรแก่การเป็นภิกษุในธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทสำหรับภิกษุไว้ประการใดบ้าง ก็ละเมิดสิกขาบท คฤหัสถ์ก็ให้เงินพระภิกษุ ช่วยกันบ่อนทำลายพระศาสนา นี่คือวิกฤติ เพราะว่าชาวพุทธไม่เข้าใจพระธรรม และไม่ได้สนใจที่จะให้พระภิกษุดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตโดยรักษาพระธรรมวินัย
ทั้งหมด มาจากความไม่รู้ ถ้าทุกคนไม่รู้ ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ต้องผิด เพราะไม่รู้ ไม่ใช่ว่าจะเอาใครมาแก้ "ความรู้" ต่างหากแก้ ถ้ายังคงไม่รู้อยู่ต่อไปก็แก้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือความเข้าใจถูก ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ผิด แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ลึกซึ้ง ที่จะเข้าใจ ถ้ามีความเข้าใจ พุทธบริษัทก็สามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ก็ย่ำยีพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่า แม้แต่การบวช ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ ถามว่า บวชทำไม?
ที่เป็นอย่างนี้้เพราะไม่รู้ คิดถึงในครั้งพุทธกาล พระพุทธศาสนารุ่งเรือง แล้วสมัยนี้ใครจะบอกว่าพระพุทธศาสนารุ่งเรือง พูดด้วยความเข้าใจหรือเปล่า? หรือว่าพูดตามๆ กัน!! เพราะว่าไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล ในครั้งพุทธกาล พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของสภาพจิตใจ เรื่องของกิเลส เรื่องของกุศล เรื่องของความดีความชั่ว กายทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีใจ จะกระพริบตาก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่ใจต่างหากที่สามารถทำให้รูปเคลื่อนไหวไปได้ จะพูดหรือจะทำก็ตามแต่ ทั้งหมดต้องเป็นไปตามจิตใจ
ด้วยเหตุนี้ พระศาสนารุ่งเรืองในครั้งนั้นเพราะผู้ที่ได้ฟังพระธรรม มีทั้งพระมหากษัตริย์ มหาอำมาตย์ ชาวบ้านทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัด ในครั้งนั้นอายุแค่ ๗ ขวบก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่ทุกคน หวังไม่ได้ เพราะไม่รู้ แต่เป็นได้เพราะรู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ตามลำดับขั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เหมือนทุกอย่างที่ต้องเริ่มต้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังธรรมในครั้งนั้น มีศรัทธา เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง คฤหัสถ์บำรุงพระภิกษุ คฤหัสถ์มีตั้งแต่พระมหากษัตริย์ มหาอำมาตย์ ชาวบ้านธรรมดา พ่อค้า ใครก็ตามที่เห็นประโยชน์ พระภิกษุไม่ลำบากเดือดร้อน ไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะตามพระธรรมวินัย หุงหาอาหารเองก็ไม่ได้ ความละเอียดของการขัดเกลากิเลส เราหุงหาอาหารเองตามใจชอบ ใครชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น ใช่ไหม? แม้แต่จะเจียวไข่ ทอดไข่ ก็ต้องตามแบบที่ตนเองชอบ จะสุกมากสุกน้อยอย่างไร กิเลสหรือเปล่า? มีความติดข้องที่ไม่รู้เลย ไม่รู้เลยว่าคำว่าปุถุชนของผู้รู้ หนาแน่นด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เกิดมาเท่าไหร่ ชาตินี้แค่นี้ ยังชาติก่อนๆ แสนโกฏิกัปป์ ทำให้แต่ละหนึ่งมีอัธยาศัยต่างกัน
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ ไม่ได้ใช้เงินของแผ่นดินที่จะมาอนุเคราะห์พระภิกษุ เพราะคฤหัสถ์มีศรัทธา อยู่ด้วยศรัทธาทั้งหมด และพระภิกษุก็เป็นผู้ที่ไม่ได้แสวงหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่ขณะนี้เป็นอย่างนั้น!! เพราะว่าชีวิต ไม่ว่าชีวิตใดก็ตามแต่ ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ขาดอาหารไม่ได้เลย ใช่ไหม และถ้าเป็นมนุษย์ก็ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ต้องอยู่ในโลกนี้ จะอยู่ตรงไหนก็ตามแต่ แล้วแต่อาศัยนั้นจะเป็นแบบไหน แล้วก็ยารักษาโรค
อยู่กันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ไม่ได้มีสิ่งที่เป็นอย่างคฤหัสถ์เลย เหมือนคฤหัสถ์ไม่ได้ สองเพศนี้ต่างกัน!! เพราะฉะนั้น เมื่อคฤหัสถ์เห็นประโยชน์ที่พระภิกษุจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ก็อนุเคราะห์โดยการใส่บาตร ให้อาหารหรือว่ามีจีวรจะถวายในบางกาลตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต แม้แต่จะรับจีวรก็ต้องได้รับอนุญาต เพราะเหตุว่า ถ้าละโมบโลภมาก เป็นภิกษุหรือ? มีมากๆ แม้แต่จีวรก็ต้องจำกัดด้วย มีได้เท่าไหร่ จะเก็บไว้ได้กี่วัน หลังจากนั้นแล้วต้องทำอย่างไร ถ้าได้ศึกษาพระวินัย จะเป็นผู้ที่เห็นกิเลส แล้วก็จะประพฤติตามพระวินัยด้วย ใครที่บอกว่ามีศีล ๕ ข้อ หรือ ๘ ข้อ หรือ ๑๐ ข้อ พอศึกษาพระธรรมวินัย ปัญญาที่เห็นคุณของพระวินัย ไม่ใช่คิดว่ามากเรื่องหรือว่า มาจำกัดมาก มาเคร่งครัดมาก แต่ผู้มีปัญญา เห็นคุณจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้ ก็ประพฤติตาม เราคฤหัสถ์จะมีศีลได้มากกว่า ๕ และ ๘ และ ๑๐ ถ้าได้เข้าใจพระวินัย!!!
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่เป็นภิกษุ งามทั้งกาย วาจา ใครเดินไปเดินมาในพระเชตวัน จะรู้ไหมว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเหมือนกันหมด!!! เป็นศากยบุตร ปฏิญาณว่าจะประพฤติขัดเกลากิเลสตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำสิ่งใด ไม่ทรงกระทำสิ่งใด ภิกษุต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทำแล้วเราจะทำ!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รับเงินทองแต่เราจะรับ นั่นเป็นผู้ที่ต้องการอะไร? ถามว่าเอาเงินไปทำอะไร? ทุกคน เพื่อที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข ได้รูปทางตา เสียงเพราะๆ ทางหู กลิ่นหอมๆ ทางจมูก มีแค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งใดมากระทบก็ติดข้อง ไม่เห็นว่าเป็นโทษ ถ้าติดข้องมาก มีหรือที่จะไม่กระทำทุจริต นี่ก็แสดงให้เห็นถึงต้นตอจริงๆ ถ้าจะไม่ให้เป็นทุจริตก็ต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา อกุศลความไม่รู้ก็ทำหน้าที่ของความไม่รู้ คือทำให้ติดข้องและไม่เห็นโทษของกิเลสทั้งหลาย
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนารุ่งเรืองในอดีตกาล เพราะภิกษุทั้งหลายศึกษาพระธรรม ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ภิกษุใดไม่ประพฤติตามสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา เพราะเป็นผู้รู้และผู้ที่เข้าใจว่า ภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ ภิกษุจะเหมือนคฤหัสถ์ไม่ได้ จะทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้!! ข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก พุทธบริษัทพร้อมเพรียงกัน ศึกษาเข้าใจพระธรรม ดำรงรักษาพระธรรมวินัย
เพราะฉะนั้น ถ้าภิกษุใดไม่ประพฤติตามพระวินัย คฤหัสถ์ควรรู้ไหม? ควรมีหน้าที่ที่จะช่วยกันกล่าวพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกในความเป็นภิกษุ ที่จะต้องเป็นภิกษุ ไม่ใช่คฤหัสถ์!! ไม่ใช่ปะปนกัน เหมือนกับคฤหัสถ์ได้อย่างไร ปัจจุบัน ตามห้างสรรพสินค้าทั้งหลายก็มีภิกษุที่เข้าแถวจ่ายเงิน พระพุทธศาสนารุ่งเรืองไหม? ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล ถ้ารุ่งเรือง (ต้อง) ด้วยจิตใจ ด้วยปัญญา ด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูก ด้วยความหวังดี!!!
เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ใครก็ตามกล่าวพระธรรมวินัยให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดีไหม? ควรไหม? เพื่อที่จะให้ทุกคนได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่คิดกันเอง!! แล้วจ้วงจาบพระธรรมวินัย ย่ำยีพระธรรมวินัย ไม่รู้อะไรเลยก็บวช!!! มีท่านผู้หนึ่งบอกว่า น้องสาวไม่สบายก็เลยไปบวช อะไรคะนี่ จะบวชได้หมดเลย ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล
ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง พระศาสนา สำหรับผู้ที่ได้ฟังเข้าใจแล้วต่างกัน เป็นพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ที่จะต้องอาศัยกันและกัน ที่จะศึกษาและช่วยกันดำรงพระศาสนา ไม่ใช่ไม่ศึกษาแล้วเข้าใจผิดตามผู้ที่ไม่ศึกษา!! พระธรรมวินัยเท่านั้นที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์ ถ้าเป็นอย่างนี้ พระพุทธศาสนารุ่งเรือง ประเทศชาติรุ่งเรือง เพราะเหตุว่า พุทธจักรก็ต้องแยกจากอาณาจักร พุทธจักรเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่ว่าจะไปสนับสนุนเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะว่า ละแล้วซึ่งเพศคฤหัสถ์ มีหน้าที่ที่จะศึกษาพระธรรมวินัย แล้วอนุเคราะห์คฤหัสถ์ได้เข้าใจธรรมะด้วย นี่คือหน้าที่ของพระภิกษุ แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ แล้วใครจะเข้าใจธรรมะ พระศาสนาก็ค่อยๆ ลบเลือน อันตรธาน พระภิกษุอยู่ได้ ถ้าเป็นภิกษุในธรรมวินัย!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
... ... ... .
ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมย้อนหลังได้ที่ลิงค์ด้านล่าง