มิจฉาทิฏฐิสูตร ... วันเสาร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๒
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๒
เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.
...จาก...
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ ๔๒๒
มิจฉาทิฏฐิสูตร
(ว่าด้วยผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าถึงนรก)
[๒๔๘] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวคำนั้นแลว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่น ก็หามิได้ ก็แต่ว่า เราตถาคตรู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง จึงกล่าวคำนั้นแลว่า เราตถาคตเห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
บุคคลในโลกนี้ ตั้งใจไว้ผิด กล่าววาจาผิด กระทำการงานผิดด้วยกาย ผู้มีการสดับน้อย ทำกรรมอันไม่เป็นบุญไว้ ในชีวิตอันมีประมาณน้อย ในมนุษยโลกนี้ เขาผู้มีปัญญาทราม เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรก
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบมิจฉาทิฏฐิสูตรที่ ๑
อรรถกถามิจฉาทิฏฐิสูตร
ในมิจฉาทิฏฐิสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทิฏฐิยา มยา ความว่า สัตว์ทั้งหลายอันเราตถาคตเห็นแล้ว คือ อันเราตถาคตเห็นแล้ว ได้แก่รู้ประจักษ์แล้ว ด้วยสมันตจักษุ และทิพยจักษุ. ด้วยคำว่า ทิฏฺฐา มยา นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงคัดค้านการได้ฟังตามๆ กันมาเป็นต้น และความข้อนี้จักมีมาในพระบาลี ในบัดนี้แหละ
บทว่า กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา ความว่า เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยกายทุจริต
บทว่า อริยานํ อุปวาทกา ความว่า เป็นผู้ว่าร้ายคือด่า ได้แก่ ติเตียนพระอริยะทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น โดยที่สุดแม้พระโสดาบัน ผู้เป็นคฤหัสถ์ โดยการกล่าวตู่ที่ไม่เป็นจริง อันเป็นเหตุกำจัดคุณความดี (ของท่าน)
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิกา ได้แก่ ผู้มีความเห็นผิด
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา ความว่า ผู้ได้สมาทานกรรมนานาชนิด เหตุที่มีความเห็นผิดนั่นแหละจะสมาทานกรรมแม้อย่างอื่นอีก มีกายกรรมเป็นต้น ที่มีมิจฉาทิฏฐิเป็นมูลฐาน
ก็เมื่ออริยุปวาทกรรม และ มิจฉาทิฏฐิ พระองค์ทรงถือเอาแล้ว ด้วยศัพท์วจีทุจริต และมโนทุจริตนั่นแหละ ในที่นี้แล้ว การตรัสซ้ำอีก ก็เพื่อจะทรงแสดงว่า อริยุปวาทกรรม และมิจฉาทิฏฐิมีโทษมาก ด้วยว่า บรรดา ๒ อย่างนั้น อริยุปวาทมีโทษมาก เท่ากับอนันตริยกรรม. สมดังที่ตรัสไว้ว่า ดูกร สารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มพระอรหัตตผลในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด ดูกร สารีบุตร ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราตถาคตกล่าวว่า ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังนี้
กรรมอื่นที่ชื่อว่า จะมีโทษมากว่ามิจฉาทิฏฐิ ไม่มี. สมดังที่ตรัสไว้ว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตไม่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่น ที่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูกร ภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภคำมีอาทิว่า ตํ โข ปน ไว้เพื่อทรงแสดงยืนยันเนื้อความตามที่ตรัสไว้ ว่า เป็นธรรมที่ประจักษ์แก่พระองค์เอง คำนั้นเข้าใจได้ง่ายอยู่แล้ว พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้
บทว่า มิจฺฉา มนํ ปณิธาย ความว่า ตั้งจิตไว้โดยไม่แยบคาย ด้วยสามารถแห่งธรรมทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้น
บทว่า มิจฺฉาวาจํ อภาสิย ความว่า กล่าววาจาผิดด้วยสามารถแห่งมุสาวาทเป็นต้น
บทว่า มิจฺฉากมฺมานิ กตฺวานความว่าทำกายกรรม ด้วยสามารถแห่งปาณาติบาตเป็นต้น
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มิจฺฉา มนํ ปณิธาย ความว่า ตั้งจิตไว้พลาด ด้วยสามารถแห่งมิจฉาทิฏฐิ. แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงเหตุ ในการประพฤติทุจริตอย่างนั้น ของเขา
บทว่า อปฺปสฺสุโต มีอธิบายว่า เว้นจากสุตะที่จะนำประโยชน์เกื้อกูลมาให้ตนและผู้อื่น
บทว่า อปุญฺญกโร ความว่า ต่อนั้นไปนั่นเอง จะทำความผิด คือ จะมีความชั่วเป็นธรรมดา เพราะความเป็นผู้ไม่ฉลาดในอริยธรรม
บทว่า อิมสฺมึ อิธ ชีวิเต ความว่า ในชีวิตอันนิดหน่อย ในโลกนี้คือ มนุษยโลก สมดังที่ตรัสไว้ว่า ผู้ที่มีชีวิตอยู่ได้นาน ก็อยู่ได้เพียงร้อยปี หรือ เกินไปเล็กน้อย และตรัสว่า มนุษย์ทั้งหลายมีอายุน้อย เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพหูสูต มีปัญญา เร่งรีบทำบุญ แล้วจะได้ไปสวรรค์ หรือดำรงอยู่ในพระนิพพาน ส่วนผู้ใดศึกษาน้อย ไม่บำเพ็ญบุญ ผู้นั้นจะเป็นคนมีปัญญาทรามเข้าถึงนรก เมื่อกายแตกสลายไป
จบอรรถกถามิจฉาทิฏฐิสูตรที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
มิจฉาทิฏฐิสูตร
(ว่าด้วยผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าถึงนรก)
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ว่า พระองค์ได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งไม่ใช่การได้ฟังมาจากสมณะหรือพราหมณ์อื่น แต่เป็นการที่พระองค์ได้ทรงรู้ ทรงเห็นตามความเป็นจริง (ตามข้อความที่ปรากฏในพระสูตร)
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากความเป็นจริงของธรรม
ความเสื่อมและความเจริญของปัญญา
ไหนๆ ก็ต้องตาย...ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจดีกว่า
เข้าถึงทุคติ วินิบาต หมายความว่าอย่างไร
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...