รูปนาม

 
Kuat639
วันที่  23 เม.ย. 2563
หมายเลข  31796
อ่าน  708

รูปกับนาม เกิด,ดับ พร้อมกันหรือไม่ หรือเกิดดับแต่ละหนึ่ง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 เม.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นาม คือ สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป รูป เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป

ซึ่ง ในคำถามที่ว่า นาม กับ รูปอะไรเกิดก่อน เกิดหลัง พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก และ มีหลากหลายนัย ในขณะที่เกิด ที่เป็นปฏิสนธิจิต ขณะนั้น รูป เกิดพร้อมนาม คือ หทยรูป เกิดพร้อมกับ ปฏิสนธิจิต และ เจตสิกที่เป็นนามเช่นกัน เกิดพร้อมกันในขณะนั้น แต่เมื่อเกิดแล้ว ในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะที่เห็น ก่อนเห็น ก็มีการเกิดขึ้นของ จักขุปสาทรูป เป็นปัจจัยโดยการเกิดก่อน เพราะ จิตเห็น จะเกิดโดยไม่มี ที่เกิด ซึ่งที่เกิดของจิตเห็น เป็น รูป ที่เป็น จักขุปสาทรูป ครับ เพราะฉะนั้น รูปจึงเกิดก่อน แล้ว จึงมีจิตเห็นเกิดขึ้นได้ รูปจึงเกิดก่อนโดยนัยนี้ ครับ และ เมื่อว่า โดยความเป็นปัจจัยอย่างกว้างขวาง เพราะ อาศัย นาม คือ เจตสิกที่ไม่ดี คือ อวิชชา ตัณหา เป็นต้น เป็นปัจจัยให้เกิด รูปและนาม คือ นาม คือ กิเลสที่เป็นอวิชชา เป็นปัจจัยให้มีการเกิด คือ ปฏิสนธิจิต ทั้งรูปและนาม ครับ และ เพราะอาศัย วิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณ ที่เป็นปฏิสนธิจิต อาศัย นาม คือ จิต เจตสิก เป็นปัจจัยให้เกิด รูป โดยการเกิดพร้อมกัน ครับ และ เป็นปัจจัยให้เกิดรูปในวาระหลังๆ เพราะอาศัยการเกิด คือ นามที่เป็นปฏิสนธิจิต เกิด จักขุปสาทรูป ปสาท 5 เป็นต้น ครับ เพราะฉะนั้น นามเป็นปัจจัยให้เกิด นาม และ รูป โดยนัยปฏิจจสมุปบาท ตามนัยนี้ ครับ

สรุปได้ว่า รูป เป็นปัจจัยให้เกิด นาม ก็ได้ โดยการเกิดก่อน และ นาม เป็นปัจจัยให้เกิดนามและรูป โดยการเกิดพร้อมกันก็ได้ ก็ขึ้นอยู่ว่า จะกล่าวถึงโดยนัยไหน เป็นสำคัญครับ

ขอเชิญคลิกฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ

ปุเรชาตปัจจัย - รูปที่เกิดก่อนเป็นปัจจัยให้นามเกิดได้
รูปที่เป็นปุเรชาตปัจจัย รูปนั้นต้องเกิดก่อนจิต

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 เม.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำคัญที่ความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า ว่า นาม คือ อะไร รูป คือ อะไร ควรตั้งต้นที่ตรงนี้ก่อน ซึ่งทั้ง ๒ ประการนี้ ก็เป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด, นามธรรมที่เป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ เป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ ได้แก่ จิต กับ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) เช่น ขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะ ได้กลิ่น ขณะลิ้มรส ขณะที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ล้วนเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของนามธรรม คือจิตและเจตสิกทั้งสิ้น ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริงไม่ใช่สภาพธรรมรู้ ไม่รู้อะไรเลยแต่มีจริง และมีจริงในชีวิตประจำวันรูปธรรม เช่น สี เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้นเป็นธรรมที่เกิดจากสมุฏฐานของตนๆ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน รูปแต่ละกลุ่มๆ ก็ทะยอยกันเกิดทยอยกันดับ

สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งสิ่งที่จะต้องศึกษานั้น ก็ไม่พ้นไปจาก นามธรรม และ รูปธรรมเลย ซึ่งจะต้องศึกษาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ