ปิยสูตร ... พระสูตรสนทนาออนไลน์ วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๔
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
พระสูตรที่จะนำมาสนทนาออนไลน์
วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๔
คือ
ปิยสูตร
...จาก...
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๔๒๖
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๔๒๖
ปิยสูตรที่ ๔
(ว่าด้วยผู้ไม่รักตน และ ผู้รักตน)
[๓๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว จึงทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เข้าห้องส่วนตัวพักผ่อนอยู่ ได้เกิดความนึกคิดอย่างนี้ว่า ชนเหล่าไหนหนอแล ชื่อว่ารักตน ชนเหล่าไหน ชื่อว่าไม่รักตน ข้าพระองค์จึงได้เกิดความคิดต่อไปว่า ก็ชนเหล่าใดแล ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่รักตน ถึงแม้ชนเหล่านั้น จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรารักตน ถึงเช่นนั้น ชนเหล่านั้น ก็ชื่อว่าไม่รักตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ไม่รักใคร่กันย่อมทำความเสียหายให้แก่ผู้ไม่รักใคร่กันได้ โดยประการใด ชนเหล่านั้น ย่อมทำความเสียหายให้แก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น ฉะนั้น ชนเหล่านั้น จึงชื่อว่าไม่รักตน, ส่วนว่า ชนเหล่าใดแล ย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้น ชื่อว่ารักตน ถึงแม้ชนเหล่านั้น จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่รักตนถึงเช่นนั้น ชนเหล่านั้น ก็ชื่อว่ารักตน ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ที่รักใคร่กัน ย่อมทำความดีความเจริญ ให้แก่ผู้ที่รักใคร่กันได้ โดยประการใดชนเหล่านั้น ย่อมทำความดีความเจริญ ให้แก่ตนด้วยตนเองได้ โดยประการนั้นฉะนั้น ชนเหล่านั้นจึงชื่อว่ารักตน.
[๓๓๕] พระผู้มีพระเจ้าตรัสว่า ถูกแล้วๆ มหาบพิตร เพราะว่า ชนบางพวกย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้น ไม่ชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราทั้งหลาย มีความรักตน ถึงเช่นนั้น พวกเขา ก็ชื่อว่าไม่มีความรักตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ไม่รักใคร่กัน ย่อมทำความเสียหายให้แก่ผู้ไม่รักได้โดยประการใด พวกเขาเหล่านั้น ย่อมทำความเสียหายแก่ตนด้วยตนเองได้ โดยประการนั้น พวกเขาเหล่านั้น จึงชื่อว่าไม่รักตน ส่วนว่า ชนบางพวก ย่อมประพฤติสุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ พวกเหล่านั้นชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่รักตน ถึงเช่นนั้นพวกเหล่านั้น ก็ชื่อว่ารักตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าชนผู้รักใคร่กัน ย่อมทำความดีความเจริญให้แก่ชนผู้ที่รักใคร่กันได้ โดยประการใด พวกเหล่านั้น ย่อมทำความดีความเจริญแก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น ฉะนั้น พวกเหล่านั้นจึงชื่อว่ารักตน.
[๓๓๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ (คำร้อยแก้ว) นี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถา (คำร้อยกรอง) ต่อไปอีกว่า
ถ้าบุคคลรู้ว่าตนเป็นที่รักไซร้ ก็ไม่ พึงประกอบด้วยบาป เพราะว่าความสุขนั้น เป็นผลที่บุคคลผู้ทำชั่วจะไม่ได้โดยง่ายเลย เมื่อความตายเข้าถึงตัวแล้ว บุคคล ย่อมละทิ้งภพมนุษย์ไป ก็อะไร ย่อมเป็น ของของเขา และ เขาจะพาเอาอะไร ไปได้ อนึ่ง อะไรเล่า จะติดตามเขาไป ประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น
มัจจา (ผู้ที่มาเกิดแล้วจำจะต้องตาย) ในโลกนี้ ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือบุญและ บาปทั้งสองประการ, บุญ และ บาปทั้งสอง นั้น ย่อมเป็นของของเขา อนึ่ง บุญและ บาปนั้น ย่อมเป็นของติดตามเขาไป ประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลเมื่อจะสะสมกรรม ที่จะให้ผลในภายหน้า ก็พึงทำกัลยาณกรรม ด้วยว่า บุญทั้งหลาย ย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ ทั้งหลายในปรโลก
จบปิยสูตร
อรรถกถาปิยสูตร
พึงทราบวินิจฉัย ในปิยสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า รโคตสฺส แปลว่า ไป [อยู่] ในที่ลับ
บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่เร้นอยู่ผู้เดียว พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงนำสูตรนี้ ให้เป็นคำตรัสของพระสัพพัญญูจึงตรัสในสูตรนี้ว่า เอวเมตํ มหาราช (ถูกแล้วๆ มหาบพิตร) ดังนี้
บทว่า อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส แปลว่า ผู้ถูกความตายครอบงำแล้ว
จบ อรรถกถาปิยสูตรที่ ๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ปิยสูตร
(ว่าด้วยผู้ไม่รักตน และ ผู้รักตน)
พระเจ้าปเสนทิโกศล เข้าไปเฝ้าผู้มีพระภาคเจ้า ที่พระวิหารเชตวัน กราบทูล ถึงความตรึกนึกคิดของพระองค์เกี่ยวกับผู้ไม่รักตน และ ผู้รักตนว่าเป็นอย่างไร ความตรึกนึกคิดของพระองค์ มีว่า บุคคลผู้ไม่รักตน คือ ผู้ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจาและ ทางใจ ส่วนบุคคลผู้รักตน คือ ผู้ประพฤติสุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับแล้ว ก็ได้ตรัสรับรองว่า เป็นความจริง อย่างนั้น ต่อจากนั้น จึงตรัสพระคาถา มีว่า "ถ้าบุคคลรู้ว่าตนเป็นที่รักไซร้ ก็ไม่พึงประกอบด้วยบาป ..." เป็นต้น (ตามข้อความในพระสูตร)
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
สิ่งที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือปัญญา
ชีวิตที่มีค่า คือ มีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ และได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
พึงรักษาตน [ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท]
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น