พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

พระสูตรที่ไม่จัดเข้าในปัณณาสก์

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 ต.ค. 2564
หมายเลข  38618
อ่าน  403

[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 500

พระสูตรที่ไม่จัดเข้าในปัณณาสก์

พระสูตรว่าด้วยธรรม ๒ อย่าง 425/500

พระสูตรว่าด้วยธรรม ๒ อย่าง 426/500

พระสูตรว่าด้วยบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่าง 427/500

พระสูตรว่าด้วยบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่าง 428/500

พระสูตรว่าด้วยธรรม ๒ อย่าง 429/501

พระสูตรว่าด้วยธรรม ๒ อย่าง 430/501

พระสูตรว่าด้วยบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่าง 431/501

พระสูตรว่าด้วยบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ 432/502

พระสูตรว่าด้วยบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ 433/502

พระสูตรว่าด้วยบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ 434/502

พระสูตรว่าด้วยธรรม ๒ อย่าง 435/503

พระสูตรว่าด้วยพระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกเพราะอาศัยประโยชน์๒ ประการ 436/503

พระสูตรว่าด้วยพระตถาคตทรงบัญญัติปาติโมกข์แก่พระสาวก 437/504

พระสูตรว่าด้วยเพื่อรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งราคะจึงควรอบรมธรรม ๒ อย่าง 438/505

พระสูตรว่าด้วยเพื่อรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งความประมาท จึงควรอบรมธรรม ๒ อย่าง 439/505

อรรถกถาที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์ 506


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 33]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 500

พระสูตรที่ไม่จัดเข้าในปัณณาสก์

[๔๒๕] ๑๗๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธไว้ ๑ ... ความลบหลู่คุณท่าน ๑ ความตีเสมอ ๑ ... ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑ ... มายา ๑ โอ้อวด ๑ ... ความไม่ละอาย ๑ ความไม่เกรงกลัว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล.

[๔๒๖] ๑๘๐. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่ผูกโกรธไว้ ๑ ... ความไม่ลบหลู่คุณท่าน ๑ ความไม่ตีเสมอ ๑ ... ความไม่ริษยา ๑ ความไม่ตระหนี่ ๑ ... ความไม่มายา ๑ ความไม่โอ้อวด ๑ ... หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล.

[๔๒๗] ๑๘๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธไว้ ๑ ... ความลบหลู่คุณท่าน ๑ ความตีเสมอ ๑ ... ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑ ... มายา ๑ โอ้อวด ๑ ... ความไม่ละอาย ๑ ความไม่เกรงกลัว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมอยู่เป็นทุกข์.

[๔๒๘] ๑๘๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมอยู่เป็นสุข ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่ผูกโกรธไว้ ๑ ... ความไม่ลบหลู่คุณท่าน ๑ ความไม่ตีเสมอ ๑ ... ความไม่ริษยา ๑ ความไม่ตระหนี่ ๑ ... ความไม่มายา ๑

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 501

ความไม่โอ้อวด ๑ ... หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอยด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมอยู่เป็นสุข.

[๔๒๙] ๑๘๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธไว้ ๑ ... ความลบหลู่คุณท่าน ๑ ความตีเสมอ ๑ ... ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑ ... มายา ๑ โอ้อวด ๑ ... ความไม่ละอาย ๑ ความไม่เกรงกลัว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุที่ยังเป็นเสขะ.

[๔๓๐] ๑๘๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่ผูกโกรธไว้ ๑ ... ความไม่ลบหลู่คุณท่าน ๑ ความไม่ตีเสมอ ๑ ... ความไม่ริษยา ๑ ความไม่ตระหนี่ ๑ ... ความไม่มายา ๑ ความไม่โอ้อวด ๑ ... หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุที่ยังเป็นเสขะ.

[๔๓๑] ๑๘๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ตั้งอยู่ในนรกเหมือนดังถูกนำมาฝังไว้ ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธไว้ ๑ ... ความลบหลู่คุณท่าน ๑ ความตีเสมอ ๑ ... ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑ ... มายา ๑ โอ้อวด ๑ ... ความไม่ละอาย ๑ ความไม่เกรงกลัว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ตั้งอยู่ในนรกเหมือนถูกนำมาฝังไว้.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 502

[๔๓๒] ๑๘๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ตั้งอยู่ในสวรรค์เหมือนดังถูกนำมาตั้งลงไว้ ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่ผูกโกรธไว้ ๑ ... ความไม่ลบหลู่คุณท่าน ๑ ความไม่ตีเสมอ ๑ ... ความไม่ริษยา ๑ ความไม่ตระหนี่ ๑ ... ไม่มายา ๑ ไม่โอ้อวด ๑ ... หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่างนี้แล ตั้งอยู่ในสวรรค์เหมือนถูกนำมาตั้งลงไว้.

[๔๓๓] ๑๘๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่าง เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความโกรธ ๑ ความผูกโกรธไว้ ๑ ... ความลบหลู่คุณท่าน ๑ ความตีเสมอ ๑ ... ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑ ... มายา ๑ โอ้อวด ๑ ... ความไม่ละอาย ๑ ความไม่เกรงกลัว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่างนี้แล เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.

[๔๓๔] ๑๘๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่าง เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่ผูกโกรธไว้ ๑ ... ความไม่ลบหลู่คุณท่าน ๑ ความไม่ตีเสมอ ๑ ... ความไม่ริษยา ๑ ความไม่ตระหนี่ ๑ ... ไม่มายา ๑ ไม่โอ้อวด ๑ ... หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยธรรม ๒ อย่างนี้แล เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 503

[๔๓๕] ๑๘๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้เป็นอกุศล ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้เป็นกุศล ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้มีโทษ ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ไม่มีโทษ ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้มีทุกข์เป็นกำไร ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้มีสุขเป็นกำไร ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาน ธรรม ๒ อย่างนี้มีทุกข์เป็นวิบาก ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้มีสุขเป็นวิบาก ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้ไม่มีความเบียดเบียน ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่ผูกโกรธไว้ ๑ ... ความไม่ลบหลู่คุณท่าน ๑ ความไม่ตีเสมอ ๑ ... ความไม่ริษยา ๑ ความไม่ตระหนี่ ๑ ... ไม่มายา ๑ ไม่โอ้อวด ๑ ... หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล ไม่มีความเบียดเบียน.

[๔๓๖] ๑๙๐. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างนี้ พระตถาคตจึงทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อำนาจประโยชน์ ๒ อย่างเป็นไฉน คือ เพื่อความดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ ... เพื่อความข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ ... เพื่อป้องกันอาสวะอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่อป้องกันเวรอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดเวรอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่อป้องกันโทษอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดโทษอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่อป้องกันภัยอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดภัยอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ...

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 504

เพื่อป้องกันอกุศลธรรมอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอกุศลธรรมอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่ออนุเคราะห์แก่คฤหัสถ์ ๑ เพื่อเข้าไปตัดรอนฝักฝ่ายของภิกษุผู้มีความปรารถนาลามก ๑ ... เพื่อความเลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ๑ ... เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างนี้แล พระตถาคตจึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก.

[๔๓๗] ๑๙๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างนี้ พระตถาคตจึงทรงบัญญัติปาติโมกข์แก่สาวก ... ทรงบัญญัติปาติโมกขุทเทส ... ทรงบัญญัติการตั้งปาติโมกข์ ... ทรงบัญญัติปวารณา ... ทรงบัญญัติการตั้งปวารณา ... ทรงบัญญัติตัชชนียกรรม ... ทรงบัญญัตินิยัสสกรรม ... ทรงบัญญัติปัพพาชนียกรรม ... ทรงบัญญัติปฎิสารณีกรรม ... ทรงบัญญัติอุกเขปนียกรรม ... ทรงบัญญัติการให้ปริวาส ... ทรงบัญญัติการชักเข้าหาอาบัติเดิม ... ทรงบัญญัติการให้มานัต ... ทรงบัญญัติอัพภาน ... ทรงบัญญัติการเรียกเข้าหมู่ ... ทรงบัญญัติการขับออกจากหมู่ ... ทรงบัญญัติการอุปสมบท ... ทรงบัญญัติญัตติกรรม ... ทรงบัญญัติญัตติทุติยกรรม ... ทรงบัญญัติญัตติจตุตถกรรม ... ทรงบัญญัติสิกขาบทที่ยังไม่ได้ทรงบัญญัติ ... ทรงบัญญัติเพิ่มเติมในสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ... ทรงบัญญัติสัมมุขาวินัย ... ทรงบัญญัติสติวินัย ... ทรงบัญญัติอมุฬหวินัย ... ทรงบัญญัติปฏิญญาตกรณะ ... ทรงบัญญัติเยภุยยสิกา ... ทรงบัญญัติตัสสปาปิยสิกา ... ทรงบัญญัติติณวัตถารกวินัย อำนาจประโยชน์ ๒ อย่างเป็นไฉน คือ เพื่อความดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 505

สำราญแห่งสงฆ์ ๑ ... เพื่อความข่มขู่บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ ... เพื่อป้องกันอาสวะอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่อป้องกันเวรอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดเวรอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่อป้องกันโทษอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดโทษอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่อป้องกันภัยอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดภัยอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่อป้องกันอกุศลธรรมอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอกุศลธรรมอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ ... เพื่ออนุเคราะห์แก่คฤหัสถ์ ๑ เพื่อเข้าไปตัดรอนฝักฝ่ายของภิกษุที่มีความปรารถนาลามก ๑ ... เพื่อความเลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ๑ ... เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างนี้แล พระตถาคตจึงทรงบัญญัติติณวัตถารกวินัยไว้แก่สาวก.

[๔๓๘] ๑๙๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งราคะ จึงควรอบรมธรรม ๒ อย่าง ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งราคะ จึงควรอบรมธรรม ๒ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อกำหนดรู้ราคะ ... เพื่อความสิ้นไปรอบแห่งราคะ ... เพื่อละราคะเด็ดขาด ... เพื่อความสิ้นไปแห่งราคะ ... เพื่อความเสื่อมไปแห่งราคะ ... เพื่อความสำรอกราคะ ... เพื่อความดับสนิทแห่งราคะ ... เพื่อสละราคะ ... เพื่อปล่อยราคะเสีย จึงควรอบรมธรรม ๒ อย่างนี้แล.

[๔๓๙] ๑๙๓. เพื่อรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ... เพื่อกำหนดรู้ ... เพื่อ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 506

ความสิ้นไปรอบ ... เพื่อสละ ... เพื่อความสิ้นไป ... เพื่อความเสื่อมไป ... เพื่อความสำรอก ... เพื่อความดับสนิท ... เพื่อสละ ... เพื่อปล่อยวางซึ่งโทสะ ... ซึ่งโมหะ ... ซึ่งความโกรธ ... ซึ่งความผูกโกรธไว้ ... ซึ่งการลบหลู่คุณท่าน ... ซึ่งการตีเสมอ ... ซึ่งความริษยา ... ซึ่งความตระหนี่ ... ซึ่งมายา ... ซึ่งความโอ้อวด ... ซึ่งความหัวดื้อ ... ซึ่งความแข่งดี ... ซึ่งการถือตัว ... ซึ่งการดูหมิ่นท่าน ... ซึ่งความมัวเมา ... ซึ่งความประมาท ... จึงควรอบรมธรรม ๒ อย่างนี้แล.

จบทุกนิบาต

อรรถกถาแห่งพระสูตรที่ไม่สงเคราะห์ลงในปัณณาสก์ (๑)

(ข้อ ๔๒๕ - ๔๓๙)

ในบทอื่นๆ จากนี้ โกธะ มีโกรธเป็นลักษณะ อุปนาหะ มีคุมแค้นเป็นลักษณะ มักขะ มีลบหลู่การกระทำที่ท่านทำดีแล้วเป็นลักษณะ ปฬาสะ มีเทียบคู่เป็นลักษณะ อิสสา มีริษยาเป็นลักษณะ ความเป็นผู้ตระหนี่ ชื่อว่า มัจฉริยะ ทั้งหมดนั้น มีเห็นแก่ตัวเป็นลักษณะ มายา มีปกปิดสิ่งที่ทำไว้เป็นลักษณะ สาไถย มีตีสองหน้าเป็นลักษณะ อาการคือความไม่ละอาย ชื่อว่า อหิริกะ อาการคือความไม่กลัวแต่ความติเตียน ชื่อว่า อโนตตัปปะ ธรรมมี อักโกธะ เป็นต้น พึงทราบว่า ตรงกันข้ามกับอุปกิเลสเหล่านั้น.

บทว่า เสกฺขสฺส ภิกฺขุโน ความว่า ธรรม ๒ อย่าง ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมจากคุณสูงๆ ขึ้นไป ของพระเสขะทั้ง ๗ จำพวก แต่ย่อม


(๑) บาลีข้อ ๔๒๕ - ๔๓๘ อรรถกถาแก้รวมๆ กันไป ไม่ได้แบ่งเป็นสูตร.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 507

เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่งปุถุชนผู้หนักในพระสัทธรรมเหมือนกัน บัณฑิตพึงทราบ ดังนี้. บทว่า อปริหานาย ความว่า เพื่อความไม่เสื่อมจากคุณสูงๆ ในรูป.

ในบทว่า ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต นี้ พึงทราบความว่า อยู่ในนรกทีเดียว เหมือนถูกนำมาเก็บไว้.

บทว่า เอกจฺโจ ความว่า ความโกรธเป็นต้นเหล่านี้มีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าบางคน. บทว่า สาวชฺชา ได้แก่ มีโทษ. บทว่า อนวชฺชา ได้แก่ ไร้โทษ. บทว่า ทุกฺขุทฺรยา ได้แก่ มีทุกข์เป็นกำไร. บทว่า สุขุทฺรยา ได้แก่ มีสุขเป็นกำไร. บทว่า สพฺยาปชฺฌา ได้แก่ มีทุกข์. บทว่า อพฺยาปชฺฌา ได้แก่ ไร้ทุกข์. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัฏฏะและวิวัฏฏะนั่นเทียว ด้วยพระดำรัสเพียงเท่านี้.

บทว่า เทวฺเม ภิกฺขเว อตฺถวเส ปฏิจฺจ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอาศัยผลทั้งสองเหตุทั้งสอง. บทว่า สิกฺขาปทํ ปญฺตฺต ความว่า ทรงบัญญัติส่วนแห่งสิกขา. บทว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย ความว่า เพื่อให้สงฆ์รับว่าดี อธิบายว่า เพื่อสงฆ์กล่าวรับว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า. บทว่า สงฺฆผาสุตาย ความว่า เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งสงฆ์. บทว่า ทุมฺมงฺกูนํ ได้แก่ คนทุศีล. บทว่า เปสลานํ ได้แก่ คนมีศีลเป็นที่รัก. บทว่า ทิฏฺธมฺมิกานํ อาสวานํ ความว่า ซึ่งอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ ทุกขธรรม มีการฆ่า การจองจำ และการติเตียนเป็นต้น ที่จะพึงได้รับ เพราะการล่วงละเมิดเป็นเหตุในปัจจุบัน คือ ในอัตภาพนี้แหละ. บทว่า สํวราย ได้แก่ เพื่อปิดกั้น. บทว่า สมฺปรายิกานํ ความว่า ซึ่งอาสวะที่เกิดในสัมปรายภพ กล่าวคือ ทุกข์ที่เป็นไปในอบายเห็นปานนั้นทีเดียว.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 508

บทว่า ปฏิฆาตาย ได้แก่ เพื่อกำจัด. บทว่า เวรานํ ได้แก่ อกุศลที่เป็นเวรบ้าง บุคคลที่มีเวรกันบ้าง. บทว่า วชฺชานํ ได้แก่ โทษทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง ทุกขธรรมเหล่านั้นแหละ ประสงค์เอาว่า วชฺช คือ โทษในที่นี้ เพราะเป็นสิ่งจำต้องเว้น. บทว่า ภยานํ ได้แก่ ภัย คือ จิตหวาดสะดุ้งบ้าง ทุกขธรรมเหล่านั้นแหละ ที่เป็นเหตุแห่งภัยบ้าง. บทว่า อกุสลานํ ได้แก่ ทุกขธรรมทั้งหลาย กล่าวคือ อกุศล เพราะอรรถว่า ไม่เกษม. บทว่า คิหีนํ อนุกมฺปาย ความว่า สิกขาบทที่ทรงบัญญัติเมื่อพวกคฤหัสถ์กล่าวโทษ ชื่อว่าทรงบัญญัติเพื่ออนุเคราะห์คฤหัสถ์ทั้งหลาย. บทว่า ปาปิจฺฉานํ ปกฺขุปจฺเฉทนตฺถาย ความว่า เพื่อตัดพรรคพวกของเหล่าภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกซึ่งคิดว่า พวกเราอาศัยพรรคพวกทำลายสงฆ์. บทว่า อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย ความว่า เพื่อให้เกิดความเลื่อมใส เพราะได้เห็นความถึงพร้อมแห่งการบัญญัติสิกขาบทของมนุษย์บัณฑิต แม้ยังไม่เลื่อมใสมาก่อน. บทว่า ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย ความว่า เพื่อให้ผู้เลื่อมใสแล้วเลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้น. บทว่า สทฺธมฺมฏฺิติยา ความว่า เพื่อให้พระสัทธรรมดำรงอยู่นาน. บทว่า วินยานุคฺคหาย ความว่า เพื่ออนุเคราะห์พระวินัยทั้ง ๕ อย่าง.

บทว่า ปาฏิโมกฺขํ ปญฺตฺตํ ความว่า ทรงบัญญัติปาติโมกข์ทั้งสองอย่าง คือ ภิกขุปาติโมกข์ ภิกขุนีปาติโมกข์. บทว่า ปาฏิโมกฺขุทฺเทสา ความว่า ทรงบัญญัติปาติโมกขุทเทส ๙ คือ สำหรับภิกษุ ๕ สำหรับภิกษุณี ๔. บทว่า ปาฏิโมกฺขฏฺปนํ ได้แก่ งดอุโบสถ (หยุดสวดปาติโมกข์เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน). บทว่า ปวารณา ปญฺตฺตา ความว่า ทรงบัญญัติปวารณา ๒ คือ ปวารณาวัน ๑๔ ค่ำ ปวารณาวัน ๑๕ ค่ำ.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 509

บทว่า ปวารณาฏฺปนํ ปญฺตฺตํ ความว่า ทรงบัญญัติการงดปวารณา เมื่อภิกษุมีอาบัติสวดญัตติปวารณา.

ในตัชชนียกรรมเป็นต้น เมื่อภิกษุทั้งหลายทิ่มแทงกันด้วยหอกคือวาจา ทรงบัญญัติตัชชนียกรรมแก่เหล่าภิกษุพวกปัณฑุกะและพวกโลหิตกะ. ทรงบัญญัตินิยัสสกรรมแก่ภิกษุเสยยสกะผู้เป็นพาลไม่ฉลาด. ทรงปรารภภิกษุพวกอัสสชิปุนัพพสุกะผู้ประทุษร้ายตระกูล บัญญัติปัพพาชนียกรรม. ทรงบัญญัติปฏิสารณียกรรมแก่พระสุธรรมเถระผู้ด่าพวกคฤหัสถ์ ทรงบัญญัติอุกเขปนียกรรม ในเพราะไม่เห็นอาบัติเป็นต้น.

ทรงบัญญัติการให้ปริวาส เพื่ออาบัติที่ปกปิดไว้สำหรับภิกษุผู้ต้องครุกาบัติ ทรงบัญญัติมูลายปฏิกัสสนะแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติในระหว่างอยู่ปริวาส. ทรงบัญญัติการให้มานัตเพื่ออาบัติที่ปกปิดก็ดี ที่มิได้ปกปิดก็ดี. ทรงบัญญัติอัพภานแก่ภิกษุผู้ประพฤติมานัตแล้ว.

ทรงบัญญัติโอสารณียกรรมแก่อุปสัมปทาเปกขะผู้ปฏิบัติถูกระเบียบ. ทรงบัญญัตินิสสารณียกรรมในเพราะปฏิบัติไม่ถูกระเบียบเป็นต้น.

ทรงบัญญัติ อุปสัมปทา ๘ อย่าง คือ ๑. เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๒. สรณคมนอุปสัมปทา ๓. โอวาทอุปสัมปทา ๔. ปัญหาพยากรณอุปสัมปทา ๕. ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ๖. ครุธรรมอุปสัมปทา ๗. อุภโตสังเฆอุปสัมปทา ๘. ทูเตนอุปสัมปทา.

ทรงบัญญัติญัตติกรรมซึ่งประกอบด้วยฐานะ ๙ อย่างนี้ว่า ญัตติกรรมย่อมถึงฐานะ ๙ ดังนี้. ทรงบัญญัติญัตติทุติยกรรมซึ่งประกอบด้วยฐานะ ๗ อย่างนี้ว่า ญัตติทุติยกรรมย่อมถึงฐานะ ๗ ดังนี้. ทรงบัญญัติญัตติจตุตถกรรมซึ่งประกอบด้วยฐานะ ๗ เหมือนกันอย่างนี้ว่า ญัตติจตุตถ-

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 510

กรรมย่อมถึงฐานะ ๗ ดังนี้.

เมื่อยังมิได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ก่อน พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทมีปฐมปาราชิกเป็นต้น ชื่อว่าปฐมบัญญัติ. เมื่อทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว ทรงบัญญัติเพิ่ม สิกขาบทเหล่านั้นแหละ ชื่อว่าอนุบัญญัติ.

ทรงบัญญัติสัมมุขาวินัย ซึ่งประกอบด้วยความพร้อมหน้า ๔ อย่างนี้ คือ ความพร้อมหน้าธรรม ความพร้อมหน้าวินัย ความพร้อมหน้าสงฆ์ ความพร้อมหน้าบุคคล. ทรงบัญญัติสติวินัย เพื่อมิให้โจทพระขีณาสพผู้มีสติไพบูลย์. ทรงบัญญัติอมุฬหวินัยสำหรับภิกษุบ้า. ทรงบัญญัติปฏิญญาตกรณะ เพื่อไม่ปรับอาบัติแก่ภิกษุที่ถูกโจทโดยไม่ปฏิญญา. ทรงบัญญัติเยภุยยสิกา เพื่อระงับอธิกรณ์ โดยถือความเห็นของพวกธรรมวาทีที่มากกว่า. ทรงบัญญัติตัสสปาปิยสิกา เพื่อข่มบุคคลมีบาปมาก. ทรงบัญญัติติณวัตถารกะ เพื่อระงับอาบัติที่เหลือลง นอกจากอาบัติที่มีโทษหนักและที่เกี่ยวข้องคฤหัสถ์ แก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ เพราะประพฤติเรื่องไม่สมควรแก่สมณเพศเป็นอันมาก เช่น ทะเลาะกัน เป็นต้น.

บทว่า ราคสฺส ภิกฺขเว อภิญฺาย ความว่า เพื่อรู้ชัด คือ ทำให้ประจักษ์ซึ่งราคะที่เป็นไปในกามคุณ ๕ นั่นแล. บทว่า ปริญฺญาย ได้แก่ เพื่อกำหนดรู้. บทว่า ปริกฺขยาย ได้แก่ เพื่อถึงความสิ้นสุด. บทว่า ปหานาย ได้แก่ เพื่อละ. บทว่า ขยวยาย ได้แก่ เพื่อถึงความสิ้นไปเสื่อมไป. บทว่า วิราคาย ได้แก่ เพื่อคลายกำหนัด. บทว่า นิโรธาย ได้แก่ เพื่อดับ. บทว่า จาคาย ได้แก่ เพื่อสละ. บทว่า ปฏินิสฺสคฺคาย ได้แก่ เพื่อสละคืน.

บทว่า ถมฺภสฺส ได้แก่ ความกระด้าง เพราะอำนาจความโกรธและ

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 511

มานะ. บทว่า สารมฺภสฺส ได้แก่ ความแข่งดี มีลักษณะทำเกินกว่าเหตุ. บทว่า มานสฺส ได้แก่ มานะ ๙ อย่าง. บทว่า อติมานสฺส ได้แก่ ถือตัวสำคัญว่าเหนือเขา (ดูหมิ่นท่าน). บทว่า มทสฺส ได้แก่ ความเมา คือ อาการเมา. บทว่า ปมาทสฺส ได้แก่ ปราศจากสติ หรือปล่อยใจไปในกามคุณ ๕. บทที่เหลือในที่ทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.

จบมโนรถปูรณี

อรรถกถาอังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต