ทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

 
เมตตา
วันที่  10 ม.ค. 2567
หมายเลข  47244
อ่าน  439

สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 819

๗. อุปปาเทตัพพสูตร

ว่าด้วยธรรมที่พระโสดาบัน ไม่ทำให้เกิดขึ้น

[๓๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ย่อมเป็นผู้ไม่ควร เพื่อยังธรรม ๖ ประการให้เกิดขึ้น ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ ราคะที่เป็นเหตุไปสู่อบาย ๑ โทสะที่เป็นเหตุไปสู่อบาย ๑ โมหะที่เป็นเหตุไปสู่อบาย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ย่อมเป็นผู้ไม่ควร เพื่อยังธรรม ๖ ประการ นี้แล ให้เกิดขึ้น.

จบอุปปาเทตัพพสูตรที่ ๗..


[เล่มที่ 78] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้าที่ 99

ภิกษุนั้น ใคร่ครวญอยู่ว่า นามรูปนี้ เกิดขึ้นเพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยหามิได้ เกิดขึ้นเพราะ มีเหตุ มีปัจจัย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุ เป็นปัจจัยของนามรูปนั้น จึงกำหนดปัจจัยแห่งนามรูปนั้นว่า นามรูปเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะตัณหาเป็นปัจจัย เพราะกรรมเป็นปัจจัย เพราะอาหารเป็นปัจจัย ดังนี้แล้ว ย่อมก้าวล่วงความสงสัยในกาลทั้ง ๓ ว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี ในกาลบัดนี้ (คือปัจจุบัน) ก็ดี ปัจจัยทั้งหลาย และธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น นอกจากนี้แล้ว หามีสัตว์หรือบุคคลไม่ มีแต่กองสังขารล้วนๆ เท่านั้น ดังนี้

ก็วิปัสสนานี้ มีสังขารเป็นเครื่องกำหนด จึงชื่อว่า ญาตปริญญา. เมื่อภิกษุกำหนดสังขารแล้วดำรงอยู่อย่างนี้ รากฐานในศาสนาแห่งพระทศพลของเธอ ชื่อว่าหยั่งลงแล้ว ชื่อว่าได้ที่พึ่งแล้วภิกษุนั้น เป็นผู้ชื่อว่า พระจุลโสดาบันผู้มีคติแน่นอน.


ท่านอาจารย์: ด้วยเหตุนี้ เข้าใจความเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อจาก ขณะนี้ ฉันใด จุติจิตดับปฏิสนธิเกิดทันที กรรมใดๆ ที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ที่พร้อมที่จะให้เกิดต่อจากจุติจิตเกิดทันที

เพราะฉะนั้น คุณความดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าระลึกอย่างนี้ จะเห็นโทษของอกุศล เห็นประโยชน์ของกุศลซึ่งต่างกันมหาศาลที่มั่นคงขึ้นที่จะมีชีวิตที่จะเป็นผู้ที่กระทำตาม คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่มีปัจจัยที่สะสมมา และสะสมต่อไป จึงเป็นไปได้ ประโยชน์อยู่ตรงนี้ อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง แต่เหตุที่จะให้อนาคตเกิดขึ้นเป็นไปมีแล้วมหาศาล

เพราะฉะนั้น จึงไม่ประมาทว่า เท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าถึงกาละที่จะไม่มีการเกิดในภพภูมิที่ไม่ดีอีกต่อไปเมื่อได้รู้ความจริง ถึงการดับกิเลสเป็นพระโสดาบันบุคคล

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องเตือนใจที่จะให้รู้ว่า ขณะนี้ ลืมอะไรหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: ลืมอยู่เสมอครับ

ท่านอาจารย์: ลืมอะไร?

อ.อรรณพ: ลืมว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา

ท่านอาจารย์: นี่แหละค่ะ จริงไหม เพราะฉะนั้น กว่าจะไม่ลืม ก็คือขณะที่ขณะนั้นทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมมีความเข้าใจ มีปัจจัยสะสมมาที่จะเกิดได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นจริงถึงที่สุดเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง และไม่ใช่สำหรับเพียงคนเดียว สองคน สามคน โดยเฉพาะคนโน้น คนนี้ คนไทยหรืออะไรต่างๆ แต่ต้องสำหรับทุกคนทุกชีวิตไม่ว่าจะเกิดในภพไหนภูมิไหน

เพราะฉะนั้น การที่ใครก็ตาม อย่างเช่น คุณนีน่าเข้าใจธรรมแล้ว เผยแพร่พระธรรมตามความสามารถ เพราะฉะนั้น ทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรม และเพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย นั่นเป็นประโยชน์สูงสุด ซึ่งเมื่อผลเกิดขึ้นใครก็จะยับยั้งผลที่ดีกับกรรมที่ดีที่ได้กระทำแล้วไม่ได้

แต่ไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตา ยิ่งมั่นคงในความเป็นอนัตตา และรู้ว่า การที่จะเข้าใจสภาพธรรมขณะนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลยใช่ไหม นอกจากสนทนาถึงความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษา ตลอดถึงสิ่งที่มีประจำวันทุกวัน ลืมทุกวันว่าเป็นธรรม จนกว่าจะมีความมั่นคงขึ้น

ก็เป็นเรื่องที่ให้เห็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะว่าจะจากโลกนี้เมื่อไหร่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่ก่อนจากไปได้เป็นผู้ที่มั่นคงในการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี โดยที่ว่าอีกนานเท่าไหร่ไม่สามารถที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้น หนทางไม่ใช่อย่างอื่นที่จะไปทำไปหวัง แต่หนทาง คือเห็นความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือคนหนึ่งคนใดทั้งสิ้น แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จนกว่าจะเข้าใจขึ้น มิเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่รอดจากความหวังความติดข้อง หวังอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา แต่หารู้ไม่ว่า เกินหวัง เพราะเหตุว่า เดี๋ยวนี้ธรรมกำลังเกิดดับใช่ไหม? ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งความจริง ก็ยังไม่สามารถที่จะถึงการดับความเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นอยู่ทุกวันตั้งแต่ลืมตาจนถึงหลับตาทุกขณะ ทุกวัน

ฟังต่อไป ทุกชีวิตก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่า เกิดแล้วก็ต้องเป็นไปตามการสะสม แล้วก็จากโลกโลกนี้ไป สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย และกรรมก็ทำให้มีปฏิสนธิต่อไป จนกว่าจะเข้าใจธรรมถึงระดับที่รู้ว่า ไม่ใช่เรา.

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

ปุถุชนกับพระโสดาบันบุคคล มีอะไรบ้างที่ต่างกัน

หนทางคือปัญญา

ลืมว่าเป็นธรรมะ

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

เข้าใจคำว่า “อนัตตา” จริงๆ หรือเปล่า

กว่าจะถึงความเป็นอนัตตาทั่วหมดต้องเป็นผู้ที่ละเอียด

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 10 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ