ไม่มีอะไรที่ใครจะทำได้เลย

 
เมตตา
วันที่  17 ม.ค. 2567
หมายเลข  47281
อ่าน  346

สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 147

ข้อความบางตอนจาก ...

คณกโมคคัลลานสูตร

[๑๐๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ พราหมณ์คณกะโมคคัลลานะได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า สาวกของพระโคดมผู้เจริญอัน ท่านพระโคดม โอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ ย่อมสำเร็จนิพพานอันมีความสำเร็จ ล่วงส่วน ทุกรูปทีเดียวหรือ หรือว่าบางพวกก็ไม่สำเร็จ.

พ. ดูก่อนพราหมณ์ สาวกของเรา อันเราโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย สำเร็จนิพพานอันมีความสำเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่ สำเร็จ.

ค. ข้าแต่ท่านพระโคดม อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในเมื่อนิพพานก็ยังมีอยู่ ทางให้ถึงนิพพานก็ยังมีอยู่ ท่านพระโคดมผู้ชักชวน ก็ยังมีอยู่ แต่สาวกของท่านพระโคดม อันท่านพระโคดม โอวาทสั่งสอนอยู่ อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย จึงสำเร็จนิพพานอันมีความสำเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่สำเร็จ

[๑๐๓] พ. ดูก่อนพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเมื่อนิพพาน ก็มีอยู่ ทางไปนิพพานก็มีอยู่ เราผู้ชักชวนก็มีอยู่ แต่ก็สาวกของเราอันเรา โอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย สำเร็จนิพพานอันมีความ สำเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่สำเร็จ ดูก่อนพราหมณ์ ในเรื่องนี้ เราจะทำ อย่างไรได้ ตถาคตเป็นแต่ผู้บอกหนทาง


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 361

๔. สัมพหุลสูตร

ว่าด้วยเทวดาคร่ำครวญถึงภิกษุผู้จากไป [๗๖๘] สมัยหนึ่ง ภิกษุมากด้วยกัน พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งใน

แคว้นโกศล ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นอยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสแล้ว หลีกไปสู่จาริก.

[๗๖๙] ครั้งนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น เมื่อไม่เห็นภิกษุเหล่านั้นก็คร่ำครวญถึง ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า ความสนิทสนมย่อมปรากฏประดุจความไม่ยินดี เพราะเห็นภิกษุเป็นอันมากในอาสนะอันสงัด ท่านเหล่านั้น เป็นพหูสูตมีถ้อยคำไพเราะ ท่านเป็นสาวกของพระโคดม ไปที่ไหนกันเสียแล้ว.

[๗๗๐] เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดาอีกองค์หนึ่งได้กล่าวกะเทวดานั้นด้วยคาถาว่า

ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ไม่อาลัยที่อยู่ เที่ยวไปเป็นหมู่ ประดุจวานรไปสู่แคว้นมคธและโกศล บางพวกก็บ่ายหน้าไปสู่แคว้นวัชชี


อ.วิชัย: การไม่เกิดย่อมเป็นสิ่งที่เป็นสุขแน่นอนครับท่านอาจารย์ ไม่มีการที่จะต้องเกิดดับสืบต่อไปครับท่านอาจารย์ แล้วหลายครั้งที่ฟังท่านอาจารย์กล่าวถึงจะเป็นบุคคลนี้อีกได้เพียงอัตภาพนี้เท่านั้น จากบุคคลนี้ก็ไม่มีบุคคลนี้อีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ฟังแล้วก็เหมือนกับ ยังมีความอาลัย มีความเป็นบุคคลนี้อยู่ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: อาลัยแน่นอน เพราะสิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าปรากฏตามความเป็นจริงว่า เกิดแล้วดับ จะอาลัยไหม?

อ.วิชัย: ก็ไม่อาลัยครับ

ท่านอาจารย์: ก็ไม่เหลือแล้ว จะอาลัยอะไรใช่ไหม แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ควรเป็นที่ตั้งของความอาลัยยินดีไหม?

เพราะฉะนั้น จึงต้องมีปัญญามาตั้งแต่ขั้นฟัง เพื่อจะให้มั่นคงเป็นบารมีที่จะละความเป็นเรา ความละเอียดอย่างยิ่ง คือแม้ฟังแล้วก็ไม่มีการที่จะเป็นเราที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่ออย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าถ้าไม่มีการที่จะค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่มีเรา จนถึงระดับที่ว่าไม่ทำอะไร เพราะเหตุว่า เกิดแล้วทั้งหมด ดับแล้วด้วย ทำได้ที่ไหน ใครทำ เกิดแล้วใครทำ ดับแล้วใครทำ ไม่มีอะไรที่ใครจะทำได้เลย

เพราะฉะนั้น ปัญญาจากขั้นการฟังกว่าจะถึงอีกระดับหนึ่ง ต้องมีความมั่นคงจนกระทั่งว่า แม้ขณะที่กำลังเข้าใจสิ่งที่ปรากฏตรงนั้นพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ก็ไม่ใช่เรา ต้องละความติดข้องทั้งหมดในทุกอย่างที่มี ที่ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนกระทั่งมั่นคงว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยเป็นปกติ ไม่ได้มีความพากเพียรที่จะไปทำขึ้นมา แม้นิด ปัญญาก็ต้องรู้ว่า นั่นไม่ใช่หนทาง นั่นเป็นหนทางผิด มิจฉามรรค ยังมีความเป็นเราแน่ๆ แล้วเมื่อไหร่จะหมดความเป็นเราในสิ่งทุกอย่างที่มี ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ความทรงจำ หรือกุศลอกุศลใดๆ ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความลึกซึ้งจริงๆ ไปพากเพียรที่จะไม่เป็นเรานั้นผิด เพราะใครกำลังพากเพียร ขันธ์ไหนล่ะ หมดเลยทุกขันธ์

อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ตามความเป็นจริงก็เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่งครับ และหนทางก็ลึกซึ้งอย่างยิ่งด้วย แล้วก็ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ที่จะเป็นเหตุให้เป็นผู้ที่ตรงขึ้นที่จะค่อยๆ เข้าใจความเป็นจริง และกราบเท้าท่านอาจารย์ที่ได้กล่าวได้แสดงธรรมที่จะเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้น ยังมีทั้งชาวอินเดียที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง ก็มีผู้ที่เริ่มมีความสนใจ และเข้าใจธรรมมากขึ้น และก็จะเผยแพร่ต่อที่จะเป็นบุคคลอื่นอย่างชาวเนปาลเป็นต้น และก็คงไม่ใช่แค่นี้ คงต้องเผยแพร่ต่อๆ ไปตามกำลังตามโอกาสที่จะเป็นไปได้ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์: เป็นกุศลระดับที่ยากที่จะเป็นไปได้ และก็ประเสริฐกว่ากุศลอื่นใช่ไหม ที่จะมีความเข้าใจซึ่งในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่ได้มีเลย จนกว่าจะได้ฟัง คำ ของผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น หนทางนี้ใครคิดบ้างว่า นี่คือหนทางเข้าใจความลึกซึ้ง ความละเอียดอย่างยิ่งของแต่ละสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ที่กำลังเกิดดับ แต่ไม่ได้ปรากฏให้รู้ความจริงนั้นเลย เพราะไม่รู้แต่ละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมาก แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ฟังด้วยความเคารพจริงๆ หนทางที่จะรู้แสนละเอียด และต้องเป็นอนัตตาจนทั่ว.

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีใคร ... มีแต่เหตุปัจจัย ทั้งสิ้น!

ละความติดข้องและความไม่รู้

มีหนทางเดียวคือ หนทางละความไม่รู้ ละความติดข้อง

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

ฟังจนมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น

มิจฉามรรค ๔ นำไปสู่ทุคติ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะแต่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 20 ม.ค. 2567

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณยิ่งและยินดีในกุศลทุกประการค่ะน้องเมตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nui_sudto55
วันที่ 20 ม.ค. 2567

สาธุครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ