ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ณ ประเทศกัมพูชา ๒๘ - ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะ เดินทางไปสนทนาธรรมกับภิกษุชาวกัมพูชาและพุทธศาสนิกชนชาวกัมพูชา ณ Angkor - Kizuna Hall, The Institute of foreign language (IFL) ศูนย์ความร่วมมือกัมพูชา - ญี่ปุ่น (Camdodia - Japan Cooperation Center - CJCC) กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา วันที่ ๒๘ - ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา
โดยในวันที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ท่านอาจารย์และคณะ ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา ๘.๑๕ น. ถึงสนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ ในเวลาราว ๙.๓๐ น. ทันทีที่ท่านอาจารย์เดินทางออกจากประตูอาคารสนามบิน ได้มี คุณบุตร ศาวงษ์ อัครบัณฑิตธรรมาจารย์ (ตำแหน่งที่แต่งตั้งโดยสมเด็จพระสังฆราชกัมพูชา) พร้อมด้วยภิกษุและพุทธศาสนิกชนชาวกัมพูชาจำนวนมาก มารอต้อนรับด้วยความตื่นเต้นยินดียิ่ง พร้อมกันนั้นทุกคนต่างก็ขอบันทึกภาพกับท่านอาจารย์เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
จากนั้น ท่านอาจารย์พร้อมคณะ ได้เดินทางออกจากสนามบินไปยังโรงแรมที่พักกลางกรุงพนมเปญ เพื่อทำการเช็คอินและรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งเมื่อเดินทางถึงโรงแรมก็ได้พบกับคุณ คุณโรเบิร์ต (Robert Kirkpatrick) เจ้าภาพผู้สนับสนุนให้เกิดการสนทนาธรรมขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ในครั้งนี้ และครอบครัว ซึ่งเดินทางมาถึงก่อนล่วงหน้าแล้ว ต่อจากนั้นท่านอาจารย์และทุกท่านได้เดินทางไปยังห้องประชุม Angkor - Kizuna Hall, The Institute of foreign language (IFL) ศูนย์ความร่วมมือกัมพูชา - ญี่ปุ่น (Camdodia - Japan Cooperation Center - CJCC) เพื่อเข้าร่วมการสนทนาธรรมในตอนบ่าย
การสนทนาธรรมในครั้งนี้ที่กรุงพนมเปญ มีพุทธศาสนิกชนและพระภิกษุชาวกัมพูชาให้ความสนใจและแสดงความประสงค์ที่จะขอเข้าร่วมฟังและร่วมสนทนาเป็นจำนวนมาก จนผู้จัดต้องประกาศทางสื่อว่า มีผู้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการสนทนาธรรมในครั้งนี้เต็มจำนวนแล้ว ผู้ไม่มีรายชื่อที่ได้ลงทะเบียนไว้ ไม่สามารถเข้าร่วมฟังในห้องประชุมได้
จากการสอบถามผู้จัดการสนทนาทราบว่า มีพระภิกษุจำนวนกว่า ๒๐ รูป และชาวเขมร ๔๔๓ ท่านที่ได้ลงทะเบียนไว้ ซึ่งสังเกตุได้ว่า ผู้ที่มาแสดงตนที่หน้าห้องประชุมนั้น มีบางท่านที่ไม่สามารถลงทะเบียนมาก่อนล่วงหน้าได้ แต่ก็ยังเดินทางมา โดยหวังว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมฟังได้ ซึ่งก็มีหลายรายที่ต้องผิดหวังเดินทางกลับไป เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาในครั้งนี้ ชนิดที่เรียกว่า "ล้นห้องประชุม" แล้ว
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงสหายธรรมชาวไทยที่เดินทางมากับท่านอาจารย์อีก ๖๐ กว่าท่าน รวมแล้วกว่า ๕๐๐ ท่าน ทำให้ห้องประชุมที่สามารถจุคนได้จำนวน ๕๐๐ ท่าน เต็มจนต้องเสริมเก้าอี้พลาสติคด้านหลังอีกหนึ่งแถว และมีบางท่านถึงกับต้องนั่งที่พื้นอีกด้วย จำนวนชาวกัมพูชาที่เข้าร่วมฟังและร่วมสนทนาธรรมไม่มีจำนวนลดลงเลย เต็มอยู่ตลอดทั้ง ๓ วันของการสนทนา
การสนทนาธรรม ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยกุศลจิต กุศลศรัทธา ของ คุณโรเบิร์ต (Robert Kirkpatrick) ชาวนิวซีแลนด์ ที่ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์มายาวนานกว่า ๓๐ ปี เป็นเจ้าภาพผู้สนับสนุนให้เกิดการสนทนา
โดยกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อไปสนทนาธรรมกับชาวกัมพูชา โดยมี คุณ สุพรรณฤทธิ์ แจม สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๓๐๘๖ ชาวกัมพูชา ที่เคยเดินทางมาศึกษาปริญญาโทในประเทศไทย และเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์มานาน เป็นผู้จัดและเตรียมการทุกอย่างในประเทศกัมพูชาพร้อมกับคณะทำงาน ซึ่งการทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยงดงาม เป็นที่ประทับใจของชาวกัมพูชา และ สหายธรรมชาวไทยทุกท่านอย่างยิ่ง
อนึ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เคยเดินทางไปสนทนาธรรมที่ประเทศกัมพูชา มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อ ๒๔ ปีที่แล้ว ระหว่างวันที่ ๔ - ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ โดยมีคุณบุตร ศาวงศ์ ร่วมสนทนาด้วย และในครั้งนั้น คุณนีน่า วัน กอร์คอม ผู้เขียนหนังสือพระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียง (เป็นหนังสือภาษาอังกฤษและมีการแปลเป็นภาษาอื่นๆ อีก หลายภาษา) ร่วมเดินทางไปด้วย (คุณนีน่าเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์มายาวนานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต)
โดยคุณโรเบิร์ต ได้กล่าวในช่วงเปิดการสนทนาธรรมในครั้งนี้ว่า หลังกลับจากสนทนาธรรมที่ประเทศกัมพูชาครั้งนั้น คุณนีน่า ได้เขียนและพิมพ์หนังสือชื่อ "ธรรมที่กัมพูชา" (Dhamma in Cambodia) ซึ่งคุณโรเบิร์ต กล่าวว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวถึงเรื่องของสติปัฏฐานไว้มาก ในคราวเดินทางมาสนทนาธรรมที่กัมพูชาครั้งนั้น คุณโรเบิร์ตกล่าวอีกว่า ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก หลายรอบมาก
การเดินทางมาสนทนาธรรม ณ กรุงพนมเปญ ในครั้งนี้ นอกจากจะมีการสนทนาธรรมที่ห้องประชุม Angkor - Kizuna Hall ศูนย์ความร่วมมือกัมพูชา - ญี่ปุ่น (Camdodia - Japan Cooperation Center - CJCC) ในช่วงเช้าและบ่ายแล้ว ยังมีกลุ่มของนักธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงของประเทศกัมพูชา ขอโอกาสจากท่านอาจารย์เพื่อสนทนากลุ่มย่อยนอกเวลาในช่วงค่ำ ณ โรงแรมที่พัก ตลอดระยะเวลาทั้ง ๓ วัน อีกด้วย
สิ่งหนึ่งที่น่าปีติยินดียิ่งสำหรับการเดินทางไปสนทนาธรรมกับชาวกัมพูชาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในครั้งนี้ คือ ท่านอาจารย์เมตตาแสดงหนทางของการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องโดยละเอียดเป็นลำดับ โดยต่อเนื่อง อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างยิ่งแก่ทั้งภิกษุและชาวกัมพูชาที่รับฟังอย่างตั้งใจ ทั้งแสดงออกถึงความเข้าใจและความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ที่ได้ฟังสิ่งที่หาฟังได้ยากยิ่งในสังสารวัฏ
หลายท่านพนมมือตลอดเวลาที่ฟัง หลายท่านยกมือขึ้นสาธุเมื่อได้ฟังคำที่ซาบซึ้ง เข้าใจ ซึ่งท่านอาจารย์ย้ำแล้วย้ำอีกในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่เป็นไปในชีวิต ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคลใดอีกต่างหากที่จะสามารถไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้ นอกจากการได้ฟังและพิจารณา เข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ มีการสะสมความเข้าใจไป ทีละเล็ก ทีละน้อย ตามลำดับ จนมั่นคงขึ้น ดังจะขอยกความบางตอนของการสนทนามาประกอบภาพบางส่วน เพื่อบันทึกไว้เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ดังต่อไปนี้
ข้อความบางตอน จากการสนทนาธรรม ณ กรุงพนมเปญ วันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ช่วงเช้า)
ท่านอาจารย์ : เมื่อสักครู่ เราได้ถวายการบูชา แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อไปนี้ เป็นผู้ตรง ต่อการที่จะบูชาพระองค์ ด้วยการฟังคำของพระองค์ ทุกคำ ละเอียด ลึกซึ้ง ต้องฟังอีก ฟังอีก ไตร่ตรอง จนเป็นความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
ก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีเห็นเหมือนเดี๋ยวนี้ ได้ยินเหมือนเดี๋ยวนี้ แต่ว่า "อยู่ในโลกของอัตตา" ไม่รู้จัก "ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้" เลย "เป็นเราทั้งหมด" ที่ "เห็น,ได้ยิน" โลกปรากฏเหมือนก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ปรากฏในความ "เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด-อัตตา"
แต่เมื่อได้ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง เริ่มฟังด้วยความเคารพสูงสุด การเคารพสูงสุด ไม่ใช่เพียงกล่าวคำนมัสการ แต่ทุกคำที่ได้กล่าวแล้ว แสดงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระคุณสูงสุดที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความจริงว่า ทุกสิ่งที่มีจริงคือโลก ไม่ใช่อัตตา เป็นอนัตตา โลกที่เข้าใจว่าเป็นอัตตา เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น อย่างเดี๋ยวนี้ ก่อนได้ยินคำว่าอนัตตา มีแต่อัตตา ทั้งโลก!! เป็นโลกของอัตตา สิ่งหนึ่งสิ่ง ใดเสมอ ตลอดมา นับกาลไม่ได้!! ว่านานเท่าไหร่!! แล้วจะ "เริ่มเข้าใจอนัตตา" ไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นอัตตา
เพราะฉะนั้น คำของใคร? ที่กล่าวว่า โลก สิ่งที่ปรากฏทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่อัตตา แต่ "ทั้งหมดเป็นอนัตตา" ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด การเริ่มเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไตร่ตรองทุกคำ มีใครสงสัยบ้างไหม ก่อนฟังพระธรรม เป็นโลกของอัตตาทั้งนั้น!! ภูเขา ต้นไม้ คน สัตว์ แม่น้ำ ดวงอาทิตย์ ล้วนเป็นอัตตา คือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้น กว่าจะเริ่มเข้าใจ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้อง ตรง มั่นคง ลึกซึ้ง ละเอียด ยังมีใครสงสัยไหม คำว่า " ก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในโลกของอัตตา" มีใครยังสงสัยคำนี้ไหม? ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว เป็นจริง ทุกกาลสมัย
เพราะฉะนั้น ขอถามว่า เดี๋ยวนี้อยู่ในโลกของอัตตา ใช่ไหม? มีใครสงสัยไหม? หรือเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ กำลังอยู่ในโลกของอัตตา เพราะอะไร? ถ้าไม่มีเหตุผล ก็ไม่ได้เข้าใจความจริง แต่แม้จะบอกว่า เดี๋ยวนี้ อยู่ในโลกของอัตตา ก็ต้องมีเหตุผลว่า เพราะอะไร? เดี๋ยวนี้จึงยังอยู่ในโลกของอัตตา ถ้าไม่ตรง จะไม่สามารถเข้าใจคำต่อๆ ไปได้ เพราะฉะนั้น ขอถามให้ตอบ เดี๋ยวนี้ อยู่ในโลกของอัตตาหรืออนัตตา
มีผู้ตอบว่า : อัตตา
ท่านอาจารย์ : เพราะอะไร? เห็นไหม ไม่ได้หยุดเท่านี้ ปัญญา กว่าจะเจริญขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ต้องด้วย "ความเข้าใจ จริงๆ " เป็นสัจจบารมี ยังไม่ได้ตอบ
มีผู้ตอบว่า : เพราะไม่รู้โลกนี้ตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ : ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้น ยังคงเป็น สิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังไม่รู้จักธรรม สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง แม้ว่ารวมกัน แต่ก็ต่างกันเป็นแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแต่ละคำ ไม่สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของแต่ละคำต่อไปอีกได้ เพราะยังไม่ได้เริ่มเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงมาที่นี่ เพื่อบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังคำของพระองค์ทุกคำ เพื่อเข้าใจละเอียดขึ้น ไม่ใช่เพียงจำ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา อนัตตาตรงกันข้ามกับอัตตา อยู่ในโลกของอัตตา นานเท่าไหร่ การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการเริ่มต้นของการจะอยู่ใน "โลกของอนัตตา"
ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจคำว่า "ธรรม" สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่มี "เห็น" ไม่มี "จำ" ไม่มี "คิด" ไม่มี "รู้สึก" ไม่มีอะไรเลย จะมีอะไรปรากฏไหม?
ถ้าขณะนี้ ไม่เริ่มเข้าใจว่า "เห็น" มีจริง ถ้า "เห็น" ไม่เกิด ไม่มี "เห็น" ถ้าไตร่ตรองแล้ว เริ่มเข้าใจคำว่า "อนัตตา" ขึ้น ก่อน "เห็น" ไม่มี "เห็น" แต่เดี๋ยวนี้มีเห็น เพราะ "เห็น" เกิด จึงมี "เห็น"
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งธรรม ปนกันไม่ได้ "เห็น" ไม่ใช่ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" ถ้าไม่ฟังให้เข้าใจอย่างนี้ จะเริ่มต้นให้ค่อยๆ เข้าใจว่า ธรรม ไม่ว่าอะไรทั้งหมด เห็น ได้ยิน หรืออะไรก็ตามแต่ เป็นอนัตตา เพราะก่อนเกิด ไม่มี แล้วก็เกิดขึ้นมี แล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเตรียม ไม่ต้องไปคอย ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น!! เพราะเดี๋ยวนี้เห็น ยังไม่รู้จัก "เห็น" เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริงของ "เห็น" เดี๋ยวนี้ "เห็นเกิด" ไม่รู้ "เห็นดับ" ไม่รู้ แล้วความจริง เห็นเกิดแล้วดับ หรือเปล่า?
อยู่ในโลกของความไม่รู้ความจริง นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ต้องฟังสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรม ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะทุกอย่างที่เกิด ดับ ไม่กลับมาอีกเลย
ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีอะไรเลย จะมีสิ่งที่ยึดถือว่า เรา เป็นเรา หรือเปล่า? แต่เมื่อยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง เมื่อรวมกัน ก็ยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตา
เริ่มเข้าใจหรือยัง ทุกสิ่งที่มีจริง และเคยเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความจริงไม่เหลือแล้ว เพราะเกิดแล้วดับทันที!! นี่คือ อริยสัจธรรม ข้อที่หนึ่ง "สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไป เป็นธรรมดา" เดี๋ยวนี้!! ใช่ไหม?
สิ่งที่กำลังปรากฏ ยังเป็นอัตตาอยู่ เป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นถ้วยแก้ว เป็นห้อง เป็นนาฬิกา สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ กำลังเกิดดับ แต่ไม่รู้ และเมื่อรวมกันเป็นรูปร่างสัณฐาน ก็ทำให้จำได้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เมื่อวานนี้ มีท่านผู้หนึ่ง (ชาวเวียดนาม) ซึ่งฟังธรรม แต่นำรูปของลูกชาย ซึ่งเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ ไม่นานเลย ไม่ถึงเดือน มาด้วย
เพียงมีรูปมาด้วย ให้ดู น้ำตาก็ไหล การร้องไห้ มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ทุกภพชาติ ร้องไห้ถึงสิ่งที่ไม่มีแล้ว!! สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น จะหาความเป็นบุคคลนั้น เกิดมาเป็นบุคคลนั้นอีก ก็ไม่ได้
ชีวิตก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ทุกชาติ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริง ให้ค่อยๆ เข้าใจว่า ร้องไห้ เสียเวลาไหม ถึงสิ่งที่ไม่มีอีกแล้ว!! ก่อนสิ้นชีวิต เป็นบุตรของเรา แต่สิ้นชีวิตแล้ว ไหน? อยู่ไหน? บุตรของเรา!!
ฉันใด เดี๋ยวนี้เป็นเรา จากโลกนี้แล้วยังเป็นเราหรือเปล่า? มีใครเกิดแล้วไม่ตายบ้าง? ไม่ว่าจะเกิดเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทพ เป็นพรหม ต้องตาย เพราะหมดกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป แม้เพียงหนึ่งขณะจิต ชาตินี้ ร้องไห้ถึงบุตรที่สิ้นชีวิตไป ถึงชาติหน้า ไม่มีอีกเลย แต่เป็นคนใหม่ที่ไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร มาจากไหน
เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ก็เป็นอัตตา แน่นอน!! ต้องฟังคำที่ประเสริฐที่สุด ที่มั่นคงที่สุด ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นสัจธรรม "ร้องไห้" มีจริงไหม? "เสียใจ" มีจริงไหม?
ถ้าไม่รู้ความจริง ก็ไม่รู้ว่า ขณะนั้น "ไม่ใช่อัตตาคือเราที่ร้องไห้" แต่ "เป็นธรรม" ถ้าไม่มีสิ่งที่รักที่พอใจ แล้วพลัดพรากไป จะมีความโศกเศร้าถึงกับร้องไห้ไหม? เดี๋ยวนี้ มีใครร้องไห้บ้าง? (มีผู้ตอบว่า ไม่มี) เพราะไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดเสียใจจนร้องไห้
ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา "ร้องไห้" เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่มีปัจจัยให้เกิดก็เกิด หยุดร้องไห้ มีไหม? ไม่มีใครร้องไห้ตลอดเวลา แต่หยุดร้องไห้เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่ พระสัมมาสัมพุทธเเจ้าทรงแสดงความจริง ทุกขณะ ทุกชีวิต ทุกชาติ
ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในความเป็นจริงของทุกอย่างว่า ไม่ใช่อัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ว่าความเสียใจก็เกิดแล้ว ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ ปรากฏเพราะเกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดจะปรากฏได้ไหม? แต่เกิดแล้ว ไม่รู้ใช่ไหม? เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ "เกิดแล้ว" ทั้งนั้น!! แต่ไม่รู้ทั้งนั้น!! ใช่ไหม?
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงให้ใครไปทำให้เกิดเลย!! เพราะเป็นไปไม่ได้!! ทุกอย่างที่เกิด ไม่ว่าที่ไหน ในโลกไหน เกิดเพราะมีเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น!! แม้ขณะนี้ที่กำลังฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เกิดแล้ว!!
ความรู้ของแต่ละคน ความเข้าใจของแต่ละคนที่ฟังแล้ว มากน้อย ต่างกัน บังคับบัญชาให้เสมอกันได้ไหม? นี่แสดงถึง ไม่มีใครสามารถทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น คำตอบสำหรับคำถามเมื่อวานนี้ เพราะอะไรจึงไม่ไปพยายามทำให้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม และเพราะสิ่งนั้นเกิดแล้ว ต้องรู้ว่า กำลังปรากฏ โดยไม่มีใครทำ!! แล้วก็ดับไป
กว่าจะเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า ทุกขณะ เป็นอริยสัจธรรม ข้อที่หนึ่ง ไม่ใช่ยังไม่ร้องไห้ แล้วก็เกิดร้องไห้ แล้วก็หยุดร้องไห้ แต่เพราะรู้ว่า ขณะนี้ เกิดแล้วไม่รู้ จึงฟังคำทุกคำ ที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง การเกิดขึ้นและดับไป ซึ่งมั่นคงในความเป็นอนัตตาว่า เกิดแล้ว ก่อนเกิดยังไม่เกิด แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เหลืออะไรที่จะให้ยึดถือได้ เริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตา
(อุบาสิกาชาวกัมพูชา เดินทางมาส่งท่านอาจารย์ ณ สนามบินกรุงพนมเปญ พร้อมขอกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์เพื่อไปสนทนาธรรมที่ พระตะบอง วันที่ ๑๒ - ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘)
ไตร่ตรองด้วยตัวเอง อีกนานไหม ที่จะ "ออกจากโลกของอัตตา" และ "อยู่ในโลกของอนัตตา"
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอเชิญติดตามบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
และ ขอเชิญติดตามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
- ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ยินดีในกุศลของคุณ Teng Chankinnary คุณ Thon Sonina พล.จ.ต. TENG Chankaruk Ratha
- รู้จัก คุณ Srun Bunthuoeun รปภ. ชาวกัมพูชา ผู้มีกุศลศรัทธาแรงกล้าในการศึกษาพระธรรม
- รู้จักคุณ Vuthy Hem อุบาสิกาชาวกัมพูชา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๕๗๐๖
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์
กราบคณะอาจารย์วิทยากร
กราบกุศลจิตทุกท่านๆ ค่ะ ที่สังขารขันธ์เกิดปรุงแต่งให้ได้อ่านและสะสมสืบต่อทุกภพชาติค่ะ กราบสาธุค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
เป็นอีกกาลครั้งหนึ่งในสังสารวัฎฎ์ ที่มีค่าทุกขณะจิตที่เกิดจากการเข้าใจความจริงของท่านผู้แสดงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้เห็นประโยชน์ของการฟังทุกคำ ทุกภาพที่ปรากฏจึงเป็นไปด้วยความเคารพนอบน้อมและเบิกบาน
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณยินดีในกุศลจิตถ่ายทอดความงดงามและไพเราะด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามด้วยครับที่ถ่ายทอดเรื่องราวพร้อมภาพ ที่นำมาซึ่งความปลาบปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่งครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ยินดียิ่งในกุศลจิตทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดการสนทนาธรรม และชาวกัมพูชาที่มีความสนใจในการศึกษาพระธรรม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของชาวกัมพูชาผู้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนจึงได้มีโอกาสได้ฟังคำจริงที่ท่านอาจารย์นำคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสดง เปิดเผยให้ผู้ร่วมสนทนาได้พิจารณาไตร่ตรองคำจริงนั้น และเมื่อเข้าใจจักได้ประพฤติปฏิบัติตามต่อไป
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [ตอน] ไหนล่ะ? ความเข้าใจ
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพลโท ชัชพัชร์ คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ อ. เมือง จ. นครสวรรค์ ๒๑-๒๒ ก.ย. ๒๕๖๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ๑๓ - ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗