ถ้าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีไหม?_ บ้านรักศรีรักงาม จ.นครสวรรค์

 
เมตตา
วันที่  2 ต.ค. 2567
หมายเลข  48601
อ่าน  245

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ [เล่มที่ 25]

ข้อความตอนหนึ่งจาก อายาจนสูตร

ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตคาคคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต

ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ก็ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรม มีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนี่อยของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา. ฯลฯ


[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 232

ว่าด้วยธรรมคัมภีรภาพ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอื่นๆ ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ดังนี้ โดยอนุสนธิแห่งคำสรรเสริญที่ภิกษุสงฆ์กล่าว

คำว่า ธรรม ในพระบาลีนั้น ความว่า ธรรมศัพท์ เป็นไปในอรรถทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ คือ คุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม นิสัตตธรรม จริงอยู่ ธรรมศัพท์เป็นไปในคุณธรรม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ธรรมแลอธรรมทั้ง ๒ หามีผลเสมอกันไม่ อธรรมนำสัตว์ไปนรก ธรรมให้สัตว์ถึงสุคติเป็นไปในเทศนาธรรม เช่น ในประโยคมีอาทิว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอทั้งหลาย

เป็นไปในปริยัติธรรม เช่น ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ

เป็นไปในนิสัตตธรรม เช่น ในประโยคมีอาทิว่า ก็ในสมัยนั้นแล ธรรมมีอยู่ คือ ขันธ์ทั้งหลายมีอยู่

ก็ในพระบาลีนี้ ธรรมศัพท์เป็นไปในคุณธรรม เพราะฉะนั้น พึงเห็นความในพระบาลีนี้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตยังมีคุณอื่นๆ อีก

บทว่า คมฺภีรา ความว่า มีที่ตั้งอันญาณของบุคคลอื่นหยั่งไม่ได้ ยกเว้นตถาคต เหมือนมหาสมุทรอันปลายจะงอยปากยุงหยั่งไม่ถึงฉะนั้น

ที่ชื่อว่า เห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้งนั่งเอง

ที่ชื่อว่า ได้ยาก เพราะเห็นได้ยากนั่นเอง.

ที่ชื่อว่า สงบ เพราะดับความเร่าร้อนทั้งหมด.

ก็ชื่อว่า สงบ แม้เพราะเป็นไปในอารมณ์ที่สงบ.

ที่ชื่อว่า ประณีต เพราะทำให้ไม่รู้จักอิ่ม ดุจโภชนะที่มีรสอร่อย

ที่ชื่อว่า คาดคะเนเอาไม่ได้ เพราะจะใช้การคะเนเอาไม่ได้ เหตุเป็นวิสัยแห่งญาณอันสูงสุด.

ที่ชื่อว่า ละเอียด เพราะมีสภาพละเอียดอ่อน.

ที่ชื่อว่า รู้ได้เฉพาะบัณฑิต เพราะบัณฑิตเท่านั้นพึงรู้ เหตุมิใช่วิสัยของพวกพาล.

ข้อว่า เย ตถาคโต สย อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ ความว่า ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ตถาคตเป็นผู้ที่มิใช่มีบุคคลอื่นแนะนำ ก็ทำให้ประจักษ์ ด้วยพระปรีชาญาณอันวิเศษยิ่งเอาทีเดียว แล้วสอนผู้อื่นรู้แจ้ง


ท่านอาจารย์: คำว่า ธรรม คำเดียว ลึกซึ้งไหม? ไม่เห็นลึกซึ้งเลย ได้ยินบ่อยๆ กุศลธรรม อกุศลธรรม อยุติธรรม ยุติธรรม ได้ยินทั้งนั้น แต่ ธรรมคำเดียว ทีละหนึ่งคำ ลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ เพราะมีจริง แต่ไม่รู้

ถ้าคิดว่าใครรู้จัก เห็น เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น ตอบได้เลย มีใครรู้จักเห็นไหม กำลังเห็นนี่? และ กำลังคิด ใครรู้จักคิดบ้างว่า คิดคืออะไร? กำลังโกรธ ใครรู้จักบ้างว่า โกรธคืออะไร?

เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่พ้นจากชีวิตประจำวัน แต่ว่า ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เป็นชีวิตประจำวัน ต้องอาศัยทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วฟังอีก

ถ้าได้ยินต่อไป ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นไหม? ประกอบกันไหม? ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้หรือ เพราะไม่มี แล้วเมื่อมีแล้ว ทำไมจึงต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาระดับเหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาลที่จะรู้ความจริง เราไม่รู้ใช่ไหม? แต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พอฟังแล้วรู้ไหม? ลึกซึ้งแค่ไหน?

แค่ คำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง น่าคิดใช่ไหม เดี๋ยวนี้มีไหมถ้าเป็นสิ่งที่มีจริง? เพราะฉะนั้น เราไม่หยุดแค่ฟังคำว่า ธรรม แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนประทับต่อหน้าพระพักตร์

ได้ยิน คำ ที่พระองค์ตรัส แล้วก็ไตร่ตรองแค่ไหน เพราะคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่พอแน่นอนใช่ไหม? แล้วก็พระองค์ไม่ได้ตรัสให้ใครเชื่อ แต่พระองค์ตรัสให้เราคิดไตร่ตรองว่า จริงหรือเปล่า? เพราะเหตุว่า ความจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีไหม? เห็นไหม ค่อยๆ นำไปสู่การไตร่ตรองด้วยตัวเองที่จะรู้จักพระองค์

พระองค์ถามธรรมดา ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีไหม?

ท่านผู้ฟัง: มีครับ

ท่านอาจารย์: มีแน่นอน ยังไม่พอ อะไรมี? เห็นไหม ทุกคำต้องเริ่มถึงความจริงที่เป็นจริงที่พระองค์ตรัสรู้

เดี๋ยวนี้ธรรมมีจริงๆ อะไรเป็นธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้?

เวลาที่มีคนไปเฝ้า พระองค์ตรัสถาม จักขุวิญญาณ ในภาษาบาลีหมายความถึง เห็น เที่ยงไหม? แค่นี้ค่ะ ต้องคนไตร่ตรองถึงจะตอบได้ว่า เห็นคืออะไร ถ้าจะตอบไปเลย จะรู้ไม่ได้ว่าเป็นเห็น แต่ต้องรู้ว่าเห็นเป็นอะไร จึงสามารถที่จะตอบพระองค์ไปได้ว่า เห็นไม่เที่ยง

แล้วเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า?

ท่านผู้ฟัง: เป็นครับ

ท่านอาจารย์: ต้องเป็น เพราะอะไร? เพราะมีจริง ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย กำลังเห็น และจะบอกว่าเห็นไม่จริงได้หรือ?

เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มต้นมีความมั่นคงในคำทุกคำที่พระองค์ตรัส " ธรรม " พระองค์ตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงมีทุกกาลสมัย รู้หรือไม่รู้ หรือว่าได้ฟังคำของพระองค์ เริ่มเข้าใจความหมายของสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปจำตัวหนังสือนะ เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง ใครก็ตอบได้ แต่ เห็นเดี๋ยวนี้ จริงหรือเปล่า? ถ้าเห็นจริง ก็ต้องรู้ต่อไปอีก แล้วเห็นเป็นอะไร? เห็นไหม แค่คำเดียว ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จำคำไว้เยอะมาก แต่ไม่รู้ว่า ขณะนี้พระองค์ตรัสให้เข้าใจความจริงที่มีทุกขณะว่า เห็นมี เห็นเดี๋ยวนี้ด้วย แล้วเห็นเกิดหรือเปล่า จึงมี? เห็นไหม ค่อยๆ มีความเข้าใจของตัวเองว่า ธรรมคืออะไร คือสิ่งที่มีจริง ขณะไหนที่มีจริง อะไรมีจริง สิ่งนั้นเป็นธรรม

เพราะฉะนั้น เห็นมีจริง เห็นเป็นธรรม พระองค์ตรัสรู้ จึงรู้ว่า แค่ตอบแค่นี้ไม่พอ ไม่ได้หมายความว่าคนตอบเข้าใจแล้ว จนกว่าเขาจะเข้าใจมากขึ้นตามลำดับขั้น แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ สามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง แต่ต้องทีละเล็กทีละน้อย มั่นคง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงทุกอย่างในชีวิตประจำวัน เพื่อรู้ความจริงของสิ่งนั้นๆ แล้วเห็นที่มีจริงอยู่นั้น เห็นเกิดหรือเปล่า? เห็นไหม ถ้าไม่ถาม ใครจะมานั่นคิด ก็ผ่านไปเลย แต่พอถาม เริ่มรู้ว่า เห็นเกิด ถ้าเห็นไม่เกิด มีเห็นไหม? ให้มั่นคงไปอีก เพียงเห็นเดี๋ยวนี้ถ้าไม่เกิดจะมีไหม?

ท่านผู้ฟัง: ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์: ไม่มีนะ เห็นเกิดเอง หรือใครไปทำให้เห็นเกิด? ต่อไปอีกเรื่อยๆ ค่อยๆ ถึงตัวเห็น ที่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และความหมายของการตรัสรู้ ก็คือว่าประจักษ์ความจริงของสิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่มีใครประจักษ์แจ้ง เพราะทุกคนคิดว่า เราเห็น เราชอบ เราจำได้ เราหมดเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คือสิ่งที่มีจริง ไม่ได้กล่าวว่า เป็นของใคร หรือเป็นใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นแต่ละหนึ่งๆ

แมวเห็นไหม? คนเห็นกับแมวเห็น เห็นต่างกันหรือเปล่า?

ท่านผู้ฟัง: ไม่ต่างครับ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เพราะว่า ไม่มีรูปร่างแมว ไม่มีรูปร่างคน จะบอกได้ไหมว่า คนเห็นหรือแมวเห็น เพราะเห็นต้องเป็นเห็น เพียงเห็นอย่างเดียว เห็นตลอดวันตลอดคืนหรือเปล่า?

ท่านผู้ฟัง: ไม่ครับ

ท่านอาจารย์: เฉพาะในขณะที่กำลังเห็นเท่านั้น ที่มีเห็น และเป็นเห็น ไม่ใช่เรา ค่อยๆ เข้าใจความหมายของแต่ละคำ ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ตรงกันข้ามกับ อัตตา อัตตาคือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งวัน เป็นโลกของอัตตาหมด ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นโลกของอนัตตา แต่ เพราะไม่รู้ การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วที่สุดของแต่ละหนึ่ง ประมาณไม่ได้เลย ทำให้ปรากฏรูปร่างสัณฐานเยอะเลย หลับตา ไม่มีเลย เป็นไปได้อย่างไร ลืมตาขึ้นมา มีหมดเลย และเพียงแค่ ไม่ต้องทำอะไรเลย หลับตาเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลือในห้องนี้ นั่นคือความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏต้องกระทบตา เพราะอะไร หลับตาแล้วไม่มี

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ที่ปรากฏ ต้องกระทบตา มีตา ตาไม่เห็น สิ่งที่มากระทบตาไม่เห็น แต่ว่า ตา และสิ่งที่กระทบกันเป็นปัจจัยให้เกิดเห็น แต่ต้นไม้ใบหญ้า อะไรไปกระทบก็ไม่เห็น เพราะไม่มีตา และสิ่งที่กระทบตา ก็ไม่ ได้ทำให้เกิดผลของกรรมที่ทำให้เห็น

ทุกขณะนี้ บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว เลือ หนอง เป็นต้น แล้วเลือกได้ไหมว่า จะเห็นอะไร? เมื่อไหร่? อุบัติเหตุกลางถนน ใครรู้มาก่อนว่า ออกจากบ้านจะเห็นอุบัติเหตุอย่างนี้ ไม่มีเลย

เพราะฉะนั้น ทุกขณะเกิด เมื่อมีปัจจัย จึงเกิดแล้ว ใช้คำว่า จึงเกิดแล้ว แค่นี้ค่ะ ก็ต้องพิจารณา จึงเกิดแล้ว แสดงว่า ไม่มีใครทำให้เกิด จึงเกิดแล้ว จึงปรากฏ แต่ไม่เคยสนใจสิ่งที่ปรากฏซึ่งหลากหลายมาก ทางตาอย่างหนึ่ง ทางหูอย่างหนึ่ง แม้ทางตาก็หลายๆ อย่าง สิ่งที่กระทบไม่ใช่อย่างเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ต้องบำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่ เพื่อจะรู้สิ่งที่กำลังได้ยิน เห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครทำให้เกิด แต่อาศัยปัจจัยเกินกว่า ๒ - ๓ ปัจจัย เช่น ตา เป็นปัจจัยหนึ่ง สิ่งที่กระทบตาเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง แล้วใครคิดถึงว่า กรรมเป็นปัจจัยให้บางครั้งเห็นสิ่งที่ดี เป็นผลของกุศลกรรม บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลกรรม ทุกคนพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เห็นสิ่งที่น่าพอใจตลอดเวลา เห็นสิ่งที่น่าพอใจตลอดเวลาก็ไม่ใช่ ชั่วขณะแล้วดับ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏ ปรากฏเมื่อยังมีอยู่ ถ้าดับหมดแล้ว ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่สิ่งนั้นยังมีอยู่ ก็ปรากฏให้เห็น

นี่เพียงแค่ไม่กี่คำเลย แล้ว ๔๕ พรรษาแสดงจนคนที่ได้ฟังรู้แจ้งอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ตามลำดับของปัญญา กระโดดข้ามไม่ได้เลย

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

ธรรมคือสิ่งที่มีจริง

ขอเชิญคลิกฟังได้ที่ ...

พยายามไปแสวงหาธรรม

ผู้ที่ละเอียดจึงฟังธรรมเข้าใจได้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ และกราบยินดีในความดีของท่านพลโทชัชพัชร์ - คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ ด้วยความเคารพค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ