เดี๋ยวนี้โลภะอยู่ไหน?

 
เมตตา
วันที่  21 ก.พ. 2568
หมายเลข  49524
อ่าน  277

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 413
๘. จินตสูตร

ว่าด้วยการคิดในอริยสัจ ๔

[๑๖๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าคิดถึงอกุศลจิตอันลามกว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หามิได้ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะความคิดนี้ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพานก็เมื่อเธอทั้งหลายจะคิด พึงคิดว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะความคิดนี้ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

จบจินตสูตรที่ ๘


[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 110

. กามสูตร

ว่าด้วยกามตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปนาน

[๑๙๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นแม้สังโยชน์อันหนึ่งอย่างอื่นซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ประกอบแล้ว แล่นไป ท่องเที่ยวไป สิ้นกาลนาน เหมือนสังโยชน์ คือ ตัณหานี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยสังโยชน์ คือ ตัณหาย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

บุรุษ ผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน ย่อมไม่ก้าวล่วงสงสาร อันมีความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้ตัณหาซึ่งเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์นี้ โดยความเป็นโทษแล้ว เป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้ นรอบ

เนื้อความแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.

จบกามสูตรที่ ๕


อ.ณภัทร: อาทิตย์ที่แล้วผมได้กราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ ข้อความใน จินตสูตร ครับว่าด้วยการคิดในอริยสัจจ์ ๔ เพราะเหตุว่า อริยสัจจ์ ๔ เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง แล้วก็รู้ได้ยากเห็นได้ยาก แล้วก็เป็นธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ แล้วก็ได้ทรงแสดง

เพราะฉะนั้น ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ในความละเอียดเพิ่มเติมจากสัปดาห์ที่แล้วว่า ถ้าพวกเธอจงคิดนะครับ จงคิดไปในอริยสัจจ์ ๔ ในทุกขอริยสัจจ์ ในสมุทยสัจจ์ ในนิโรธอริยสัจจ์ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์ เพราะเห็นว่า ความคิดที่คิดไปในอริยสัจจ์ ๔ นี้ ก็จะประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น แล้วก็เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด จนถึงพระนิพพานครับ

แต่การคิดอย่างอื่นไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้นเลย ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า ทุกขอริยสัจจ์ พอได้ฟังพระธรรมก็พอพิจารณาไตร่ตรอง ก็พอที่จะเข้าใจตามได้ครับว่า สภาพหนึ่งสภาพธรรมใดมีความเกิดขึ้น แล้วจะไม่ดับเป็นไปไม่ได้ อันนี้เป็นทุกขอริยสัจจ์ ส่วนสัจจะที่ ๒ ที่จะกราบเรียนสนทนาในความละเอียด ก็คือว่า สมุทยสัจจ์ นี่ครับ ก็คือโลภะ ความติดข้อง ความต้องการ ความไม่สละ เพราะฉะนั้น การที่จะคิดไปในสมุทยสัจจะที่เป็นตัวโลภะนี่ครับ ในชีวิตประจำวันก็หมายถึงการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เวลาต้องการ หรือโลภะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ?

ท่านอาจารย์: ง่ายนะ คิดเอาก็ได้ คิดเอาก็ได้อย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม? แล้วจะลึกซึ้งหรือ? ถ้าไม่อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเห็นความลึกซึ้ง พูดอีกที

อ.ณภัทร: ครับ จริงๆ ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเลยครับ เพียงแต่ว่า การที่พระองค์บอกว่า สิ่งที่ควรจะคิด คิดไปในอริยสัจจ์ ๔ ครับ และอริยสัจจ์ที่ ๒ ก็คือสมุทยสัจจะที่เป็นโลภะครับ และการที่จะคิดไปในอริยสัจจะที่ ๒ จะมีความละเอียดอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: คิดเองหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: คิดเองไม่ได้ครับ ต้องอาศัย ...

ท่านอาจารย์: ก็นี่จะคิดเองหรือเปล่า? ไหนอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ใช่คิดเองซิว่า พระองค์ตรัสว่าอย่างไร?

อ.ณภัทร: พระองค์ก็ทรงแสดงว่า โลภะ นี่เป็นเหตุให้สังสารวัฏฏ์ไม่จบไม่สิ้นครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ โลภะ อยู่ไหน?

อ.ณภัทร: ก็ตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า รู้จักโลภะแล้ว แล้วก็แค่พูดว่า โลภะเป็นสมุทัย เป็นเหตุ แค่นั้นไม่พอเลย แต่ต้องรู้เดี๋ยวนี้โลภะอยู่ไหน ต้องเดี๋ยวนี้หมด เพราะถ้าอะไรก็ตามที่ยังไม่เกิดรู้ไม่ได้

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้โลภะอยู่ไหน?

อ.ณภัทร: เดี๋ยวนี้โลภะอยู่ที่เห็นครับ

ท่านอาจารย์: โลภะอะไรอยู่ที่เห็น?

อ.ณภัทร: ก็มีความต้องการที่จะเห็น ในขณะที่เห็นก็มีความยินดีพอใจในสิ่งที่เห็นครับ

ท่านอาจารย์: ยังหยาบไหม?

อ.ณภัทร: ยังหยาบครับ

ท่านอาจารย์: พูดซ้ำอีกที่ว่า ยังหยาบคืออย่างไรเมื่อกี้นี้

อ.ณภัทร: ก็รู้เพียงว่า ในขณะที่เห็นต้องมีความยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น แต่ตัวความอยากจริงๆ ยังไม่เห็นตัวความอยากจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: มีแน่ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: ไม่เห็น ลึกซึ้งไหม?

อ.ณภัทร: ลึกซึ้งอย่างยิ่งครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แค่พูดคำว่า ลึกซึ้ง ไม่ได้หมายความว่า เข้าใจความลึกซึ้ง เพียงแต่ได้ยินคำว่า ลึกซึ้ง แต่ยังไม่ถึงความเข้าใจความลึกซึ้งว่า ลึกซึ้งปานใด

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กำลังเห็นทีละเล็กทีละน้อย มีโลภะไหม?

อ.ณภัทร: มี แต่รู้ได้ยากเห็นได้ยากครับ

ท่านอาจารย์: โลภะ คือความติดข้องในอะไร?

อ.ณภัทร: ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏครับ

ท่านอาจารย์: แทบไม่รู้เลยใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: แต่ยิ่งกว่านั้น เราเห็น ถูกต้องไหม?

อ.ณภัทร: ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: ละเอียดกว่า ลึกกว่าไหม ในเมื่อไม่เคยคิดถึงเลย แต่คิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่คิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ยังไม่พูดเลยว่า เห็นอะไร แต่มีแน่ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: แต่ ใครคิด?

อ.ณภัทร: ต้วเราคิดครับ

ท่านอาจารย์: ใครเห็น?

อ.ณภัทร: ก็เราเห็นครับ

ท่านอาจารย์: โลภะไหม?

อ.ณภัทร: เป็นโลภะที่เบาบางมากครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โลภะ ที่ใครก็รู้ไม่ได้ แม้ว่ามี เพราะเหตุว่า เมื่อไม่รู้จักเห็น ขณะนั้นเป็นอะไร?

อ.ณภัทร: เห็น ก็เป็นตัวเรา

ท่านอาจารย์: เป็นตัวเรา ทิฏฐาสวะ

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

การคิดในอริยสัจจ์ ๔ [จินตสูตร]

โลกอันตัณหาดักไว้

โลภะ เป็นไฉน [ธรรมสังคณี]

ขอเชิญฟังได้ที่..

โลภะมีแต่ความต้องการมากมาย

ผู้ให้กำเนิดที่ต้องถูกฆ่า

บ่วง - เบ็ด - ตัณหาเหมือนแม่น้ำ - ตัณหาเหมือนข่าย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 22 ก.พ. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.พ. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ