ในความมืดก็เริ่มมีแสงสว่าง

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 37 - 38
อธิบาย คำว่า ปาฏิหาริย์
ในบทว่า วิวิธปาฏิหริยํ นั้นพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ที่ชื่อว่า เป็นปาฏิหาริย์ เพราะนำไปเสียซึ่งกิเลสที่เป็นข้าศึก คือ เพราะกำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น เมื่อความหมายมีอยู่ดังว่ามานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่มี กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นที่เป็นปฏิปักษ์ ซึ่งจะต้องนำไปกำจัด แม้สำหรับ ปุถุชนทั้งหลาย เมื่อจิตปราศจากอุปกิเลส ประกอบด้วยคุณ ๘ ประการ ขจัดกิเลสที่เป็นปฏิปักษ์ได้แล้ว อิทธิวิธี (การแสดงฤทธิ์ได้) จึงเป็นไป เพราะเหตุนั้น ตามโวหารที่เป็นไปในที่นั้น ใครๆ จึงไม่สามารถกล่าวว่าเป็น ปาฏิหาริย์ในที่นี้ แต่เพราะเหตุที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงมีกิเลสที่มีอยู่ในเวไนยสัตว์เป็นปฏิปักษ์ ฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นปาฏิหาริย์ เพราะนำขจัดกิเลสเหล่านั้นไปเสีย.
อ.วิชัย: ก็มีประเด็นที่จะกราบเรียนสนทนาท่านอาจารย์เรื่องของ การศึกษาธรรม ที่จะเป็นผู้ที่เข้าใจใน คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้เป็นผู้ที่ติดใน คำ ครับ
อย่างข้อความที่ท่านพระอานนท์แสดงนี้ครับว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ เอวัมเมสุตัง ครับ ก็มีข้อความอย่างนี้ว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ละเอียดโดยนัยต่างๆ ตั้งขึ้นด้วยอัธยาศัยมิใช่น้อย สมบูรณ์ด้วยอรรถะ และพยัญชนะ มีปาฏิหาริห์ต่างๆ ลึกซึ้งโดยธรรม อรรถะ เทศนา และปฏิเวธะ มาสู่คลองโสตะ สมควรแก่ภาษาของตนๆ ของสัตว์โลกทั้งปวง ใครเล่าที่สามารถเข้าใจได้โดยประการทั้งปวง แต่ข้าพเจ้าแม้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ให้เกิดความประสงค์ที่จะสดับ ก็ได้สดับมาอย่างนี้
กราบท่านอาจารย์ครับ ก็ทราบว่าท่านพระอานนท์เป็นผู้ที่สะสมบารมีมาที่จะเป็นเอตทัคคะ ถึง ๕ สถานครับ การที่ท่านสามารถที่จะเป็นผู้ทรงจำ แล้วก็รู้อรรถะในเนื้อความของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ อย่างข้อความว่า ใครเล่าที่สามารถเข้าใจได้โดยประการทั้งปวง หมายความว่าแม้ท่านพระอานนท์เองที่ได้สดับ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็รู้เท่าที่ท่านสามารถจะรู้ได้เท่านั้นหรือครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าท่านรู้มากกว่านั้น ก็ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.วิชัย: ท่านอาจารย์ครับ อย่าง คำ แต่ละคำ ที่ได้ฟังมาอย่างท่านพระอานนท์ได้กล่าวมา อย่าง โลกอันจิตย่อมนำไป นี่เป็นพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ แต่ว่า ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า การที่จะเป็นผู้ที่เข้าใจในอรรถะ แต่ก็ต้องอาศัย คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเป็นที่พึ่งด้วย ที่จะพิจารณา ที่ท่านกล่าวถึงว่า เป็น มีปาฏิหาริย์ แล้วก็ลึกซึ้งด้วยครับ แต่ว่า คำที่พระองค์ตรัสก็อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว ก็พอเข้าใจได้ครับว่า เดี๋ยวนี้จิตก็กำลังไป ไปๆ ๆ อยู่ในแต่ละขณะครับ ก็ดูเหมือนกับยังไม่เห็นว่า จะลึกซึ้ง อย่างไรครับ ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: ไปโดยการที่เกิดแล้วดับ แล้วก็เกิดอีกแล้วดับอีก แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ดับอีก สืบต่อไม่สิ้นสุด ลึกซึ้งไหม?
อ.วิชัย: ลึกซึ้งมากครับท่านอาจารย์ เพราะว่า เพียงฟังแต่ยังไม่รู้ความเป็นจริงของเขาอย่างนั้นครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้เอง
อ.วิชัย: แล้วการที่จะ อย่างที่ อ.อรรณพ ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า การที่จะค่อยๆ ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ที่จะค่อยๆ นำความไม่รู้ออกไป หรือละความไม่รู้ลงไปทีละเล็กทีละน้อยครับ ดูเหมือนกับฟังแล้วก็เป็นเรื่องราว แต่ว่า เหมือนกับความเข้าใจก็เหมือนกับทีละนิดทีละหน่อย ทีละเล็กทีละน้อย หมายถึงว่า กว่าความเป็นจริง อย่างจิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็วค่อยๆ ปรากฏ ก็ต้องหมายถึงว่า ต้องอาศัยการฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ นำความรู้ออกไปทีละเล็กทีละน้อยหรือครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ที่ไม่เคยฟังมาแล้วแสนโกฏกัปป์นั่น ทีละเล็กทีละน้อยหรือเปล่า?
อ.วิชัย: ก็ทีละเล็กทีละน้อยเหมือนกันครับทุกๆ ขณะ
ท่านอาจารย์: จนกระทั่ง.. ไม่เข้าใจถึงปานนี้ ไม่ใช่ว่าเหมือนตอนที่แสนโกฏกัปป์เริ่มใช่ไหม? แต่สืบต่อมาทีละเล็กทีละน้อยจนถึงวันนี้ ถูกต้องไหม? เมื่อวานเข้าใจหรือเปล่า วันก่อนเข้าใจหรือเปล่า ตอนเป็นเด็กเข้าใจหรือเปล่า ตอนเกิดเข้าใจหรือเปล่า ย้อนไปๆ ๆ
อ.วิชัย: ยิ่งเห็นความไม่รู้มากมายเหลือเกินครับ เพียงแต่การที่จะสนทนาแล้วก็เข้าใจขึ้นบ้างก็น้อยมากครับที่จะเพียงฟังแล้วก็ที่จะเข้าใจขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะละไหม? ชาตินี้จะหวังอะไร แค่รู้แค่นี้เอง
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: มิเช่นนั้น จะเอาอะไรมาละหวัง มีแต่จะหวัง รู้นั่นรู้นี่ หวังนั่นนี่ไปเรื่อยๆ หารู้ไม่ว่า ที่ไม่รู้มานานเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ และรู้แค่นี้แค่ไหน?
ขณะนี้ ธาตุรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับหมด ขณะนี้เป็นจริงอย่างนั้น ประจักษ์แจ้งก็ต้องประจักษ์แจ้งสิ่งที่เกิดดับเดี๋ยวนี้ว่า กำลังเกิดดับ อีกนานไหมล่ะ? เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีอะไรเกิดดับเลย
อ.วิชัย: ครับ แสดงถึงความเป็นปฏิหาริย์จริงๆ ของใน แต่ละคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ อย่างที่ได้สมัยตั้งแต่ฟังรายการแนวทางวิปัสสนา ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้เรื่องครับ ในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง แต่ว่า พอศึกษาก็พอเข้าใจขึ้นบ้าง ก็จะเห็นถึงการที่ธรรมมีการเกิดดับสืบต่อ แล้วก็มีการปรุงแต่งของความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นบ้างครับ ก็จะเห็นถึงกาลเวลาที่ยาวนานมากกว่าจะพอรู้ขึ้นบ้างครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: นี่แหละ บารมี เริ่มละความหวังความไม่รู้ เพราะรู้ว่า หวังอะไรได้? ตราบใดที่ไม่รู้ ไม่มีทางที่จะรู้สิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ได้เลย กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ตามปกติ เพราะขณะนี้เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปรู้อย่างอื่นได้หรือ? ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ เดี๋ยวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในความมืดก็เริ่มมีแสงสว่าง
สิ่งที่อยู่ในความมืดมากมายมหาศาล แต่ละหนึ่งขณะ สืบต่อกันนานแสนนานมาแล้ว เป็นโลกของอัตตาหมด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี จึงทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่า ทุกอย่างที่มีเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏเหมือนเดี๋ยวนี้ที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหมดทุกอย่าง
อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
ปาฏิหาริย์ เพราะกำจัดกิเลส [ขุททกนิกาย อิติวุตตก]
สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ คืออย่างไร?
ขอเชิญฟังได้ที่..
พึงตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ