ความกังวล
ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกไม่สบายใจ เศร้าซึม อยู่แทบตลอดเวลา ทั้งๆ ที่พยายามแก้ไขโดยการสวดมนต์หรือระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา
ควรทราบความจริงว่า ปุถุชนผู้ที่หนาไปด้วยกิเลส มีปกติจิตเป็นอกุศล เว้นไว้แต่ขณะที่จิตเป็นไปใน ทาน ศีล และภาวนา เท่านั้น ที่เหลือ ชวนจิตเป็นอกุศลทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องอาศัยการเจริญกุศลทุกประการ เพื่อการละอกุศลทั้งปวง เพียงการสวดมนต์หรือระลึกถึงพระธรรม ไม่เพียงพอที่จะดับอกุศลที่สะสมมานานแสนนานได้ ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา จนถึงขั้นอริยมรรคเกิดขึ้นจึงจะดับกิเลสได้ แต่ถ้าอริยมรรคยังไม่เกิดขึ้นตราบใด กิเลสที่สะสมมานานย่อมเกิดขึ้นกระทำกิจของกิเลสตราบนั้น จริงๆ แล้วความกังวลที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสภาพธรรมอย่งหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เราต้องรู้ว้า เราสะสมสิ่งใดมามาก กิเลสมากหรือปัญญามาก ดังนั้นเมื่อเราสะสมกิเลส มามากแล้ว ก็ย่อมเป็นธรรมดาจริงๆ ที่ย่อมเหตุปัจจัยให้กิเลสประเภทต่างๆ เกิดขึ้น ไม่ว่า จะเป็นความยินดีพอใจ ความขุ่นใจและอะไรอีกมากมาย ดังนั้นขอให้มั่นคงกับคำว่า อนัตตาครับ คือบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยสภาพธัมมะนั้นก็เกิด จะบังคับไม่ให้ เกิดก็ไม่ได้เพราะสะสมกิเลสมามาก หนทางในการดับกิเลส จึงไม่ใช่เป็นการบังคับไม่ให้ขุ่นใจหรือซึมเศร้าเพราะบังคับไม่ได้อยู่แล้ว แต่ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ตรงนี้คือ ทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เรา ค่อยๆ เข้าใจแม้ขั้นการฟัง สักวันก็ย่อมมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรมครับ อดทนที่จะฟังและค่อยๆ เข้าใจความจริงนะ จะไม่มีความไม่สบายใจก็เป็นพระอนาคามีครับ
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
"จะไม่มีความไม่สบายใจก็เป็นพระอนาคามีครับ"
ขออนุโมทนากับคำตอบของคุณแล้วเจอกันคุณรัตนาพรครับ ผมเองก็ไม่อยากมีความกังวล ความไม่สบายใจ เหมือนคุณรัตนาพร และเหมือนกับคนส่วนมากนั่นแหละครับ แต่ผู้ที่จะไม่มีความกังวลใจ หรือความไม่สบายใจ ก็ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีขึ้นไปพูดอย่างนี้ก็หมายความว่าผมอยากมีคุณสมบัติของพระอนาคามีทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นปุถุชน ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหมครับ?เพราะการที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลก็ต้องด้วยปัญญาความเห็นถูก ประกอบกับบารมีทั้งสิบที่สะสมจนครบถ้วนจนเป็นปัจจัยให้ปัญญาขั้นละเอียด หรือวิปัสนาญาณเกิดขึ้นประหารกิเลสที่สะสมมาเนิ่นนาน เป็นไปทีละขั้นตั้งแต่ละความเห็นผิด ที่เห็นสิ่งต่างๆ ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ให้ค่อยๆ ไถ่ถอนให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมหรือธาตุแต่ละชนิด ซึ่งต้องอบรมกันเป็นระยะเวลายาวนานมากๆ แต่ก็เริ่มต้นได้ด้วยการฟังพระธรรม เพื่อค่อยๆ สะสมความเห็นถูก เพื่อค่อยๆ ละคลายความเห็นผิดที่ห่อหุ้มอยู่อย่างหนาแน่นเกินจะบรรยาย ให้ความเห็นถูกที่เพิ่มขึ้นนั้นค่อยๆ ทำกิจละความเห็นผิดของเขาเอง โดยไม่มีตัวตนของเราที่จะไปบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่ต้องการ
การฟังพระธรรม ศึกษาเพื่อประพฤติตามพระธรรมคำสอน เท่าที่กำลังความสามารถที่มีอยู่เป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ให้ค่อยๆ ลดลง เมื่อธรรมฝ่ายไม่ดีลดลง ธรรมฝ่ายดีก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ความไม่สบายใจ ความกังวลทั้งหลายก็เป็นธรรมฝ่ายไม่ดี เป็นสภาพที่มีจริง มีเหตุปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้นทำกิจกลุ้มรุมจิต ไม่มีใครไปเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้นอกจากปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มีจริงอีกประเภทหนึ่งเช่นกันที่เกิดขึ้นทำกิจเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เขาก็จะทำกิจละความไม่รู้ เมื่อเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง เขาทำหน้าที่ของเขา แต่เราเมื่อไม่รู้ ไม่ประจักษ์ ตามความเป็นจริงก็ย่อมเดือดร้อนเพราะความเป็นตัวตนนั่นเอง
เราทั้งหลายก็ล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ คือต้องพบเจอกับสภาพธรรม คือความจริงที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของใครๆ ได้ เขามีสภาพของเขาอย่างนั้น แต่เราต้องการให้เป็นไปอย่างนี้ ก็ขัดกับธรรมชาติของเขาครับ ท่านมาถูกที่แล้วครับ ที่นี่มีการนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดง เพื่อให้ผู้ได้ยินได้ฟังได้นำไปพิจารณา ไตร่ตรอง ตรวจสอบ ว่าจริงหรือไม่จริง เป็นเหตุเป็นผลหรือไม่ มีหลักฐานที่มาหรือเปล่าประโยชน์ก็จะเกิดกับท่านเอง อย่างน้อยก็จะได้พอที่จะเข้าใจว่า เรายังห่างไกลมากกับการที่จะเป็นพระอนาคามีบุคคล แล้วความเดือดร้อนจากความกังวลใจก็คงจะค่อยๆ ลดลง เพราะรู้ว่าต้องมีความกังวลใจเกิดขึ้นอีกแน่นอน และเกิดอีกนานมากๆ ด้วย
ขออนุโมทนาครับ
เราสั่งสมกิเลสมานานแสนนาน แล้วแต่บางคนก็เป็นคนเจ้าโทสะ บางคนก็เจ้าโลภะความไม่สบายใจ เศร้าซึม เกิดจากโทสมูลจิตที่สะสมมานาน ถ้าเรารู้ว่าความไม่สบายใจเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ยังดีกว่าความไม่สบายใจเกิดก็ยังเป็นเรา ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ ไม่ต้องหวังว่าจะให้ความไม่สบายใจหมด มีเหตุมีปัจจัยก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ ค่อยๆ อบรมปัญญาด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจ และขณะที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ค่ะ
ในกระดานสนทนามีผู้ถามเรื่องความกังวลเยอะเลยคะ รวมทั้งดิฉันด้วย เลยเลือกมาให้ลองอ่านดูนะคะ
ในพระพุทธศาสนามีวิธีแก้ความวิตกกังวลไว้อย่างไรบ้างครับ
มีความฟุ้งซ่านคิดวิตกกังวลจะแก้อย่างไร
ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าความกังวลเป็นเรื่องธรรมชาติบอกด้วยนะคะ