กลัวจนหัวใจเต้นผิดปกติ

 
สมุย
วันที่  16 มิ.ย. 2553
หมายเลข  16505
อ่าน  2,403

ปกติเป็นคนขี้กลัว โดยเฉพาะกลัวตาย บ่อยครั้งที่นอนหลับไปแล้วสะดุ้งตื่น นึกว่าตายไปแล้ว พยายามปฏิบัติก็สงบลงบ้าง แต่ปรากฏว่า นับตั้งแต่วันที่ 19 พค. ที่ผ่านมา ดิฉันกลัวมาก มือสั่น ใจสั่น และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็มีอาการเช่นนี้มา มากบ้างน้อย น้ำหนักก็ลดลง เรื่อยๆ ก็พยายามรวบรวมสติ เช้าๆ ก็พยายามเดินจงกรม หายใจ เข้าออก ยาวๆ ก็ไม่ค่อยสงบ อยากได้คำแนะนำดีๆ ช่วยให้ปฏิบัติได้ดีขึ้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 16 มิ.ย. 2553

ผมคิดว่าควรค่อยๆ ศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจ ไม่ต้องรีบร้อนที่จะปฏิบัติอีกทางหนึ่งควรปรึกษาแพทย์ตามโรงพยามบาล น่าจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้บ้าง อนึ่งการศึกษาพระธรรมจะทำให้เข้าใจความจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้นเมื่อเข้าใจความจริงว่าทุกขณะเป็นเพียงสภาพธรรมเท่านั้น ย่อมจะเป็นผู้บรรเทาความกลัวได้ และจะเป็นผู้ไม่กล้วตายได้ต่อเมื่อเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์

ขอเชิญสมาชิกทุกท่านร่วมแสดงความเห็นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผิน
วันที่ 16 มิ.ย. 2553

จริงๆ แล้วทุกคนมีความกลัว จะมากน้อยขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่แต่ละคนสะสมมา เมื่อมีความกลัวเกิดขึ้นหาสาเหตุที่เกิดขึ้นเพราะอะไร และพยายามทำความเข้าใจ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ มีเกิดก็มีดับ ขณะที่เกิดความกลัวให้กำหนดหายใจเข้าแรงๆ และหายใจออกแรงๆ ทางปาก ทำซ้ำๆ หลายครั้ง อาการสั่นนั้นจะหยุดไปเอง และปรึกษาแพทย์ (ดิฉันเห็นด้วยกับ อ.prachern.s)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
sirijata
วันที่ 16 มิ.ย. 2553

ดิฉันก็กลัวตายเหมือนกันค่ะ แถมขณะยังไม่ตายก็กลัวผีด้วยค่ะ เข้าใจความรู้สึกของคุณสมุย ได้ดี จึงขอร่วมเสนอความคิดเห็นด้วยคนค่ะ

คุณสมุยก็ต้องรีบเปลี่ยนความคิดไปเรื่องอื่นแทนทันทีค่ะ (เช่น ดูทีวี ฟังวิทยุ เป็นต้น) ซึ่งเรื่องที่ควรคิดก็คือ ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฎขณะนั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป (ภาพและเสียงในทีวีหรือวิทยุเปลี่ยนไปเรื่อยๆ) มีลักษณะ ไม่เที่ยง ทนอยู่ได้ยาก บังคับบัญชาไม่ได้ และจะสังเกตได้ว่า ขณะนั้นความกลัวตายอาจหายไป เกิดๆ ดับๆ ค่ะ หรืออาจคิดว่าวันนี้หรือวันก่อนๆ ย้อนหลังไปเรื่อยๆ คุณสมุยได้ทำความดีอะไรบ้าง แล้วจดบันทึกไว้ หรือฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ เข้าเว็บไซด์นี้ก็ได้ และอีกวิธีสำหรับชาวโลกค่ะ คือหาเพื่อนคุย ออกกำลังกาย ทานอาหารอร่อยๆ ไปเที่ยว ทำกิจกรรมที่ชอบๆ เมื่อศึกษาพระธรรม ก็รู้ว่า ความกลัว เป็นโทสะชนิดหนึ่ง (กว่าจะละได้ก็บรรลุมรรคผลเป็นพระอนาคามี) และเวลาตายจริงๆ คือจุติจิตเกิดนั้น มีสภาพคล้ายภวังคจิต คือ เหมือนหลับสนิทไปโดยไม่รู้ตัว พอตื่นขึ้นก็คือเกิดปฎิสนธิจิตในภพใหม่แล้ว และจุติจิต (คือตาย) ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไร คุณสมุยอย่ากลัวตายเลยค่ะ แต่ควรกลัวความประมาทมากกว่า คือประมาทในการเจริญกุศลทุกเมื่อ ยิ่งกลัวตาย ต้องยิ่งทำกุศล ต้องยิ่งศึกษาธรรมะให้มากๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 17 มิ.ย. 2553

คนส่วนใหญ่กลัวตาย แต่จริงๆ แล้วต้องตาย การศึกษาพระธรรมทำให้รู้ว่าความกลัว เป็นอกุศลจิต บางคนกลัวมากจนออกเป็นอาการเช่นเป็นลมบางคนกลัวน้อย..เกิดจากการสะสมความกลัวหรืออกุศลจิต ถึงรู้เหตุของความกลัวอยากจะละ ก็ละยาก การศึกษาธรรมะไปเรื่อยๆ จะเข้าใจทีละเล็กละน้อยว่าทุกอย่างเป็นธรรมะเกิดตามเหตุปัจจัยบังคับไม่ได้หากจะตายก็ต้องตาย หากไม่ตายทำอย่างไรก็ไม่ตาย การคิดถึงความตายแล้วกลัวไม่มีประโยชน์ แต่หากกคิดถึงความตายแล้วรีบสร้างกุศลศึกษาธรรมะให้เข้าใจเพื่อละอกุศลทั้งปวงแม้แต่ความกลัวตายเป็นประโยชน์มากกว่า เป็นกำลังใจคะ และพระธรรมเป็นยารักษาที่ดีที่สุด

เชิญคลิกอ่าน.... ยารักษาใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Teera
วันที่ 17 มิ.ย. 2553

เคยมีอาการคล้ายๆ แบบนี้ ซึ่งเกิดจากความเครียดในเรื่องต่างๆ ที่บางทีเราก็ไม่รู้ตัว แนะนำไปปรึกษาแพทย์ทางจิตเวชครับ สามารถช่วยได้ครับ และในขณะเดียวกันก็ศึกษาพระธรรมไปด้วย ความกลัวก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเช่นกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
aegwong
วันที่ 17 มิ.ย. 2553

ใจของคุณกำลังติดอยู่กับความกลัวและพยายามผลักความกลัวออกไป ทำให้มีอาการต่างๆ เกิดขึ้นกับร่างกายซึ่งเกิดจากการต่อต้านของร่างกาย อันเนื่องมาจากใจ

ให้คุณถอยออกมาจากความกลัว โดยพิจารณาว่า

1 ความกลัวมีอยู่เป็นธรรมชาติ

2 ความกลัวไม่ได้อยู่กับคุณตลอดเวลา เมื่อใจคุณไปสนใจสิ่งอื่นๆ ความกลัวก็จะหายไปชั่วขณะ และกลับมา เมื่อมีปัจจัยเหมาะสม แสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

3 ความกลัวนี้ไม่สามารถควบคุมให้เกิด หรือไม่ให้เกิด ได้

4 ให้ปล่อยวางความกลัวลง สุดท้ายให้นั่งสมาธิ คนเดียวเพื่อต่อสู้กับความกลัว ขอให้ผ่านพ้นความกลัวไปให้ได้นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
yupa
วันที่ 18 มิ.ย. 2553

ทุกวันนี้สังคมไทย สังคมโลก มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แบบห้ามกระพริบตาเลย โดยเฉพาะ ภัยพิบัติ มันน่ากลัวอย่างยิ่ง มันเกิดขึ้นกับคนอื่นได้ มันก็เกิดขึ้นกับเราได้ ไม่แปลก จิตตกอย่างแน่นอน แต่อาศัยฟังแนวทางเจริญวิปัสสนา บ่อยๆ คำสังสอนของพุทธองค์สอนให้ทราบว่า ทุกอย่างล้วนอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วแต่เหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ใครจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับสติปัญญาที่ได้สะสมมา สำหรับดิฉัน ฟังธรรมเพื่อไม่ให้เกิดหลงลืมสติบ่อยนัก จะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น กับสิ่งที่เข้ามากระทบกับเรา ไม่ว่าดี หรือ ไม่ดีขอเอาใจช่วยคุณสมุย ให้ผ่านพ้นกับสิ่งที่กำลังทุกข์อยู่ ด้วยดี

ธรรมะ คือโอสถ ขนานแท้ สำหรับมนุษย์

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สมุย
วันที่ 18 มิ.ย. 2553

ขอบคุณสำหรับทุกข้อความ เมื่อวานก็ไปหาหมอมา แต่ไม่อยากบอกเขาละเอียด เพราะไม่อยากพบจิตแพทย์ ทุกวันนี้ก็พยายามอ่านและสวดมนต์ อ่านก็รู้และเข้าใจ แต่พอจะปฏิบัติก็ยาก อย่างทำว่า "ปล่อยวาง" ทุกคนบอกพี่ต้องวางนะ ก็ถามตัวเองว่าวางยังไง ที่น่าเบื่อคือต้องสะดุ้งตื่น ตีสาม แล้วก็จะฟุ้งซ่าน ดิฉันก็พยายามสวดมนต์ หายใจเข้าออก ตามที่ท่านแนะนำ ก็พยายามคิดในด้านดีว่า เหตุการณ์วันนี้ พระท่านอาจต้องการ ให้ดิฉันฝึกตายให้เป็น วันนั้นเมื่อมาถึงดิฉันจะได้มีสติที่ดีกว่านี้

ขอขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้ง จะพยายามต่อไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 18 มิ.ย. 2553

ความตาย เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชาติหนึ่งๆ เป็นจิตขณะสุดท้ายที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ ทำกิจจุติ คือ ทำกิจเคลื่อนหรือพรากให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ จะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ความตาย เป็นความจริงที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น เมื่อถึงคราวตาย ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ เราจักต้องตายแน่แท้ เราจะต้องตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ นี้คือ ความจริงที่ทุกคนควรรู้ ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลังความสามารถของตนเองที่พอจะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด เพราะฉะนั้น การระลึกถึงความตาย จึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ แต่ระลึกแล้วเกิดสติและปัญญาเพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลายด้วยการเริ่มต้นด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ พร้อมทั้งตั้งตนไว้ชอบ คือ ศึกษาพระธรรมแล้วมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ และไม่ประมาทในอกุศลแม้จะเล็กน้อยด้วย จึงจะเป็นชีวิตที่เป็นไปกับด้วยประโยชน์อย่างแท้จริง. เป็นข้อความของมูลนิธิฯที่ลงใน//www.our-teacher.com/

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pannipa.v
วันที่ 18 มิ.ย. 2553

ถ้าต้องตื่นกลางดึก แล้วฟุ้งซ่านรำคาญใจ ลองใช้วิธีนี้ดูค่ะ เปิด mp3 ของท่านอาจารย์สุจินต์ แล้วนอนฟัง และคิดตามไปเรื่อยๆ เท่าที่จะเข้าใจได้ จะช่วยได้มากทีเดียวค่ะ ถึงไม่หลับจนถึงเช้า แต่พระธรรมก็จะเยียวยาจิตใจได้อย่างดียิ่งค่ะ ตายเป็นตาย ตามมีตามได้นะคะ จุติจิตเกิดเมื่อไร ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น แล้วจะกลัวอะไรคะ? (แต่ลึกๆ ก็ยังกลัว...!!!ค่ะ)

ขอให้มีพระธรรมเป็นเกาะ มีพระธรรมเป็นที่พึ่งนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 18 มิ.ย. 2553

กลัวความตาย แล้วการเกิดล่ะค่ะ กลัวบ้างมั้ย เพราะตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เมื่อเกิดอีก ก็ต้องตายอีก และก็กลัวตายอีกไปเรื่อยๆ เป็นไปอยู่อย่างนี้กี่ภพกี่ชาติ ไม่มีวันจบสิ้นชาตินี้เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ควรแสวงหาประโยชน์จากพระธรรมคำสอน เพื่อที่จะเข้าใจความจริงของชีวิต ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดอีก กลัวอีก และตายอีกยังไงล่ะค่ะ

ป.ล. ขออนุโมทนาความคิดเห็นของสหายธรรมทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 19 มิ.ย. 2553

ตราบใดที่ยังไม่มีความมั่นคงในกุศล ปุถุชนก็ย่อมความหวั่นไหว ก็ย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังกลัวตาย แต่เราก็สามารถ สะสมความเห็นถูก สะสมกุศล สะสมปัญญา เพื่อละกิเลสตามลำดับค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
choonj
วันที่ 21 มิ.ย. 2553

อ่านความเห็นที่ ๓ แล้วรู้สึกว่าตลกดี ตลกก็เป็นธรรม วันหลังเขียนมาให้อ่านบ่อยๆ นะกิเลสที่สังสมพรั่งพร้อมแล้วมีกำลังมากๆ แล้ว ย่อมเข้าถึงความลำเอียง ๔ อย่างคือ ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติ และโมหาคติ ภยาคติคือความ "กลัว" เมื่อสังสมที่เป็นอคติเข้าถึงความลำเอียงแล้ว จะหนีความกลัวได้อย่างไร ไม่มีทางที่จะหนีได้เพราะเป็น อคติ ซึ่งเป็นกิเลสตัวยงเสียแล้ว จะหนีได้ก็ต่อเมื่อดับกิเลส แล้วดัยกิเลสอะไรบ้างแล้วหรือยังครับ ถ้าจะให้บรรเทาก็จะต้องถามว่าทำไมต้องหลังวันที่ ๑๙ พ.ค. ก่อนวันที่ ๑๙ พ.ค. ไปทำอะไรมา แถมไม่บอกหมอให้ละเอียดด้วย สิ่งที่ทำก่อนและในวันที่ ๑๙ อาจเป็นสาเหตุสำคัญ ของความกลัวก็ได้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
สมุย
วันที่ 21 มิ.ย. 2553

ตอบคุณ Choonj ดิฉันกลัวอย่างนี้มานานมากแล้ว แต่ทุกครั้งที่ตกใจตื่นก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย ก็นอนต่อได้ ก็พยายามไปนั่งสมาธิ ปรากฏว่าจิตก็ตกวูบ เกิดอาการกลัวการนั่ง พยายามที่ไรก็จะปวดหัว พอดีพบเพือนคนหนึ่งพาไปปฏิบัติทางสายญี่ปุ่น รับแสงให้แสง ก็ปฏิบัติมา 10 กว่าปี ก็ไม่เป็นไร แต่พอวันที่ 19 นั่งรถกลับเข้า หวังว่าท่านควรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ความกลัวทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงมันก็วิ่งพุ่งมาเกาะอยู่ ที่นี้เอาไม่หลุด นอนสะดุ้งมาเป็นเดือนแล้ว เมื่อคืนนอนได้ สองชั่วโมง ดิฉันพยายามปฏิเสธที่จะกินยา เพราะเคยเห็นติดยานอนหลับก็ไม่อยากเป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้ก็พยายามนอนหายใจ เข้าออก ลึกๆ กำลังตัดสินใจอยู่ว่าตัวเองจะเดินทางไหนดี จะไปต่อสายนี้ หรือกลับไปเริ่มตนใหม่ที่ศูนย์กับการนั่งวิสสนา

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 21 มิ.ย. 2553

คำสอนที่แท้ของพระพุทธองค์ ไม่นำมาซึ่งความผิดปกติใดๆ หรือความทุกข์ใดๆ เลยค่ะ ขอแนะนำให้ศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจเป็นเบื้องต้น ก่อนที่จะปฏิบัติหรือกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป ถ้าเริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ผลก็คือ การปฏิบัติที่ถูกต้องค่ะ (จะรู้ว่าอะไรปฏิบัติ และอย่างไร) เพราะถ้าปฏิบัติไปด้วยความไม่รู้ ผลก็คือไม่รู้ค่ะ เสียเวลา เสียใจ (ทุกข์) และไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
choonj
วันที่ 22 มิ.ย. 2553

เรียนคุณสมุย ลองฟังความเห็นของผมแล้วพิจารณาว่าเป็นไปได้มั้ย ครับ แต่ขอบอกก่อนว่า ในสภาพของคุณตอนนี้คงจะเข้าใจยาก แต่ถ้าสามารถเข้าใจได้ก็ขออนุโมทนา

คุณสมุยเคยได้ยินผู้ที่ปฎิบัติผิด ไม่ว่าจะนั่งสมาธิ รับแสง หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งพิสูตรได้ว่าผิด แล้วเป็นบ้ามั้ยครับ เรื่องนี้มีจริงนะครับเพราะได้รับการรับรองมาแล้ว อาการตอนนี้น่าเป็นห่วงนะครับ ที่นี้ลองคิดในทางที่ปลอดภัยว่า ที่แล้วๆ มาเคยปฏิบัติอย่างไรไม่ว่าจะ รับแสง หรือกลับไปศูนย์นั่งวิปัสสนานั้นผิดก่อน เป็นการปฏิบัติผิดก่อน เพื่อที่จะรักษาอาการที่เป็นอยู่นี้ คือหยุดไว้ก่อน ความคิดของผมว่าถ้าเป็นอาการปฏิบัติผิดแล้วไปหาหมอก็ไม่หายหรอกครับ ที่นี้จะทำยังไงก็ลองฟังคำแนะนำต่อไปนี้นะ ครับ

การปฏิบัติผิดไม่ว่าจะนั่งสมาธิ หรือรับแสง เมื่อกระทำนานๆ แล้วเป็นเวลาเป็น ๑๐ ปี สิ่งที่ผิดก็จะสังสมไว้มาก ผลก็คือจะมีอาการต่างๆ ซึ่งไม่อาจจะคาดเดาได้ อาการที่เกิดนั้นมีปัจจัยทำให้เกิด ไม่ใช่อยู่ๆ ก็จะเกิดได้ และการปฏิบัติผิดเป็นเวลานานถึง ๑๐ กว่าปีที่มีกำลังก็คือปัจจัย เพราะฉะนั้นคุณสมุยต้องรู้ว่ากำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ ต่อสู้กับอาการของการปฏิบัติผิด ๑๐ ปี ที่มีกำลังมากๆ แล้วจะเอาอะไรมาสู้อาการนี้ สิ่งที่จะสู้ก็มีอยู่ในตัวคุณสมุยแล้วคือ "สติ" แต่สติที่มีอยู่นี้เป็นสติที่ไม่มีกำลังแล้วจะไปสู้กับกิเลสที่มีกำลังมากๆ ได้อย่างไร เหมือนมดสู้กับช้าง เพราะฉะนั้นจึงต้องเจริญสติให้มีกำลัง สติที่มีกำลังก็จะทำให้เกิดปัญญา ปัญญาก็จะประหารกิเลส ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณสมุยจะต้องเรียนรู้ โดยการศึกษาธรรมโดยการฟังธรรม ไม่ใช่ไปปฏิบัติธรรมที่รับแสงหรือนั่งสมาธิ อย่างที่คุณไตรว่า "คำสอนของพระพุทธองค์ไม่นำมาซื่งความผิดปกติใดๆ "

สรุปแล้วก็คือ จะรักษาอาการนี้ได้ คุณสมุยต้องมีสติที่มีกำลัง ขอแนะนำว่าให้ลืมทุกอย่าง แต่ศึกษาธรรมโดยการฟังธรรมที่ถูกต้อง เพื่อสติที่มีกำลัง ก็โชดดีนะครับที่ได้มาพบมูลนิธินี้ ครับ

หวังว่าคงเข้าใจนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
yuphin
วันที่ 23 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

ดิฉันมีความกลัวคล้ายกับคุณเช่นกัน แต่ความกลัวของดิฉันคือไม่รู้สาเหตุว่าสิ่งที่เกิด ขึ้นกับดิฉันมันเกิดขึ้นได้อย่างไร จะสงบมันได้อย่าง จึงเริ่มค้นหาสาเหตุและพบว่ามี อยู่ในพระธรรมคำสอนที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ดิฉันคิดว่าคุณคงมี ความศรัทธาในตัวครูบาอาจาร์ของคุณมาก แต่ไม่ทราบความศรัทธาที่มี ต่อพระธรรม คำสอนนั้นเป็นเช่นไรพระคุณอันเปี่ยมล้นของ พระองค์มีมากมายมหาศาล หาสิ่งใดคน ใดเทียบได้ คำตอบอยู่ที่คุณ ขอให้คุณโชคดีและเข้มแข็ง คำตอบมีอยู่รอคอยทุกคน ได้มาพบ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
สมุย
วันที่ 23 มิ.ย. 2553

ขอขอบพระคุณ ในทุกคำแนะนำ ดิฉันก็กำลังรวบรวมสติอยู่ คนเราเหมือนยืนอยู่บนทางสองแพร่ง ก็ลำบากใจ เพราะสิ่งที่ปฏิบัติมา 10กว่าปี ก็เห็นอะไรมากมาย ช่วยคนอื่นก็ได้ แต่พอตัวเองจิตตก ก็คิดไม่ตก แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันเชื่อ คือทุกคำสอน สอนให้คนเป็นคนดี ดิฉันไม่เคยปฏิเสธพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรม และ พระสงฆ์

ขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้ง

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
choonj
วันที่ 23 มิ.ย. 2553

ขออนุญาตกลับมาอีกที่เพราะอดไม่ได้เมื่อได้อ่านความเห็นที่ ๑๘ และ ๑๙ และดีใจที่ได้ยินว่า "กำลังรวบรวมสติ" ทั้งสองความเห็นเอ่ยถึง สัทธาที่มีต่ออาจารย์ ๑๐กว่าปี และทุกคำสอน สอนให้เป็นคนดี ผมก็ขอเสนอโดยไม่ต้องตอบให้อ่านผ่านกันไป

ไม่มีอะไรผิดเลยกับครูบาอาจารย์ที่สอน รับแสง หรือวิปัสสนา แต่ถ้าเรารู้เรืองสมาธิ ก็จะรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ ปัญหาจึงอยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่ครู เพราะเมื่อเป็นมิฉาสมาธิแล้ว ซึ่งง่ายมากถ้าไม่รู้จริง ก็ใช้ไม่ได้ ผิด เมื่อเรามีอาการก็ต้องสงสัยไว้ก่อน เพราะท่านสอนว่า อย่าเชื่อตามๆ กันมา อย่าเชื่อครูบาอาจารย์ ฯลฯ แล้วเลือกทางแพร่งที่ถูก ครับ

พระธรรมคือคำสอนของพระพุทธ ควรศึกษาให้รู้ชัดจริงๆ ว่าพระธรรมสอนอะไร

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
สมุย
วันที่ 29 มิ.ย. 2553

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 16505 ความคิดเห็นที่ 20 โดย choonj

ขออนุญาตกลับมาอีกที่เพราะอดไม่ได้เมื่อได้อ่านความเห็นที่ ๑๘ และ ๑๙ และดีใจที่ได้ยินว่า "กำลังรวบรวมสติ" ทั้งสองความเห็นเอ่ยถึง สัทธาที่มีต่ออาจารย์ ๑๐กว่าปี และทุกคำสอน สอนให้เป็นคนดี ผมก็ขอเสนอโดยไม่ต้องตอบให้อ่านผ่านกันไป

ไม่มีอะไรผิดเลยกับครูบาอาจารย์ที่สอน รับแสง หรือวิปัสสนา แต่ถ้าเรารู้เรืองสมาธิ ก็จะรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ ปัญหาจึงอยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่ครู เพราะเมื่อเป็นมิฉาสมาธิแล้ว ซึ่งง่ายมากถ้าไม่รู้จริง ก็ใช้ไม่ได้ ผิด เมื่อเรามีอาการก็ต้องสงสัยไว้ก่อน เพราะท่านสอนว่า อย่าเชื่อตามๆ กันมา อย่าเชื่อครูบาอาจารย์ ฯลฯ แล้วเลือกทางแพร่งที่ถูก ครับ

พระธรรมคือคำสอนของพระพุทธ ควรศึกษาให้รู้ชัดจริงๆ ว่าพระธรรมสอนอะไร


เรียนคุณ choonj

คุณเสนอโดยไม่ต้องตอบ แต่ขออนุญาตเขียนถึง ต้องกราบขอพระคุณสำหรับทุกถ้อยคำที่เขียนมา โดยเฉพาะที่ว่า สมาธิไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ ดิฉันอาจจะเป็นหนึ่งของบัวที่ไม่พ้นน้ำ ดิฉันได้ตัดสินใจที่จะเดินทางรับแสงต่อไป คำสอนก็ได้พูดถึงกฏแห่งกรรมเหมือนกัน ทุกอย่างที่เรารับอยู่เป็นผลจากการะทำของเราในอดีตไม่ว่าชาติภพใด หากแต่วิธีสอนและปฏิบัติอาจจะแตกต่าง

ดิฉันดีขึ้นบ้างแต่ยังไม่ 100เปอร์เซนต์ ทุกคนให้กำลังใจ และประคับประคอง ไม่ว่าญาติพี่น้อง หรือมิตรสหายที่ศูนย์ให้แสง ทุกอย่างในชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป ขอกราบขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำต่างๆ ที่ให้นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
sirijata
วันที่ 29 มิ.ย. 2553

ขออนุญาตกลับมาอีกทีเพราะอดไม่ได้ค่ะ (ขออนุญาตใช้สำนวนคุณ choonj ขอบคุณค่ะ)

ดิฉันเข้าใจคุณสมุยจริงๆ ค่ะ และขอให้คุณสมุยยังคงเข้ามาในเว็บไซด์นี้ต่อไป อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ คุณสมุยรับแสง ดิฉันก็รับพลังจักรวาลค่ะ แต่ขณะเดียวกันดิฉันก็รับฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จากท่านอาจารย์สุจินต์และคณะวิทยากรทางวิทยุเป็นประจำทุกวันด้วยเช่นกัน

คุณสมุยแก้ไขความกลัวโดยการหายใจลึกๆ แต่ก็ยังไม่หาย คุณน่าจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยลองศึกษาเรื่องของใจ คือเรื่องของจิต และ เจตสิก ให้มากยิ่งขึ้นกว่านี้ เพราะดิฉันมั่นใจว่านี่จะเป็นยารักษาโรคกลัวที่ได้ผลที่สุดของคุณ (คนโบราณท่านบอกว่า หนามยอกให้เอาหนามบ่งค่ะ)

และถ้าคุณพอมีเวลาในวันเสาร์-อาทิตย์ ดิฉันอยากให้คุณมาที่มูลนิธิฯนี้ ซึ่งอยู่ในซอยเจริญนคร ๗๘ ซอยสุดท้ายก่อนขึ้นสะพานดาวคะนอง เข้ามาประมาณ ๑๐๐ เมตร และมาลองคุยและศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์และคณะวิทยากรและอาจารย์ท่านอื่นๆ ดูนะคะ ทุกท่านใจดีและจริงใจทุกคนค่ะ ดิฉันขอรับประกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
choonj
วันที่ 30 มิ.ย. 2553

แสดงว่าอารมณ์ อดไม่ได้ นี้มีจริง และก็เป็นธรรม เกิดแล้วก็ดับหาสาระไม่ได้ ผมอ่านความเห็นทั้งสองของคุณ Sirijata แล้วก็อดขำไม่ได้ ต้องหัวเราะอยู่คนเดียว มีทั้งพลังจักรวาล มีทั้งหนามยอกหนามบง มีทั้งรับประกัน คุณSirijata ถ้าเล่นแฟสบุ๊คอยู่ ขอเป็นเพื่อนด้วยครับ ขอบคุณ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ