เคยคิดมั้ยค่ะว่า.. เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกกี่วัน?
ถ้าหากว่าอายุโดยเฉลี่ยของคนในยุคนี้อยู่ที่ ๗๕ ปี ถ้าคิดเป็นวันก็จะได้ ๒๗,๓๗๕ วัน สมมติว่าท่านมีอายุ ๓๐ ปี เท่ากับท่านได้ใช้ไปแล้ว ๑๐,๙๕๐ วัน ขณะนี้ท่านเหลือเวลาอีกเพียง ๑๘,๒๕๐ วันเท่านั้น นี่เป็นเพียงการคำนวณคร่าวๆ นะคะ จะว่าไปก็ไม่ได้ยืนยาวเลยใช่มั้ยค่ะ
ในแต่ละวัน ชีวิตของเราหมดไปแล้วกับการนอนและการทำงาน ๒ ใน ๓ ส่วน เหลืออีกส่วนนึงก็หมดไปกับการบริโภค ชำระล้างร่างกาย เดินทาง ฯลฯ ถ้าหากว่าจะมีการฟังธรรมบ้าง เจริญกุศลบ้าง ระลึกศึกษาสภาพธรรมบ้าง ก็คงเป็นเพียงเศษเสี้ยวของชีวิตเท่านั้น จะเห็นได้ว่ากุศลจิตเกิดน้อยจริงๆ ค่ะ
ในแต่ละวัน ยิ่งมีความประมาทในการใช้ชีวิต ก็ยิ่งเกื้อกูลให้อกุศลเจริญขึ้นไปอีก แต่ละคนก็คงเหลือเวลากันอีกไม่มากนะคะ สิ่งใดที่ท่านคิดว่ามีค่า ก็จงให้เวลากับสิ่งนั้นมากๆ
สำหรับท่านที่เข้าใจพระธรรม ก็ย่อมจะทราบว่า "การอบรมเจริญปัญญา....คือสิ่งที่มีค่าที่สุด"
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑- หน้าที่ 322
พระปัจฉิมวาจา
[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต
แม้แต่วาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ พระพุทธองค์ยังทรงตักเตือนให้ตั้งอยู่ใน "ความไม่ประมาท" เพราะความประมาท นำมาซึ่งอกุศลธรรมทั้งปวง
"พระโอวาทที่ประทานมา ๔๕ พรรษา รวมลงในบทคือ ความไม่ประมาทอย่างเดียวเท่านั้น"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกดวงค่ะ
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เราเหลือโอกาสฟังธรรมให้เข้าใจว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา น้อยลงทุกวันแล้วครับ
อันว่าสังขารที่ไม่เที่ยง แต่ว่าน่าจะยังอยู่ต่อตามกรรม ฉะนั้นก็อย่าลืมตอบแทนสังขารบ้าง
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ที่น่ากลัวมากที่สุดคือ หากชาตินี้ไม่สิกขาพระธรรม และไม่สร้างกุศลให้ถูกต้อง เราจะต้องตกนรกไปกี่กัปป์ จะมีโอกาสพบพระพุทธศาสนาอีกละ หรือลองตรองดู เพราะเวลาในนรกยาวนานมากๆ ๆ กว่าจะหมดกรรมในนรก พระพุทธศาสนานี้ก็อาจหายไปแล้ว รอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ จะได้พบละ หรือชาตินี้ เดี๋ยวนี้ มีพระไตรปิฎกและมี ธรรมาจารย์สอนกันมาก แล้วจงรีบเร่งสิกขากันเถิดนะ กัลยาณมิตรเอ๋ย
มีชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิด...เพื่อเข้าใจพระธรรมค่ะ
...ขออนุโมทนาค่ะ...
ขออนุโมนาค่ะ
การที่เราได้คำนึงถึงช่วงชีวิตที่เหลืออยู่จะช่วยให้เราไม่ประมาท ในการและทำให้เราได้ตระหนักถึงการเร่งสร้างความเพียร เพื่อเจริญ ทาน ศีล เจริญปัญญาอย่างถูกต้องให้สมกับเกิดอยู่ภพภูมิมนุษย์ที่อยู่ในศาสนาพุทธศานา
คนเกือบทุกคน ที่รู้อย่างนี้แล้ว ก็ยังประมาทอยู่ดี เพราะยังมีอวิชชา และโลภะหนาๆ ที่สะสมอยู่ จึงยังเห็นประโยชน์ใน การเสพอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ก็อยากพ้นทุกข์ อยากมีปัญญามากๆ อยากมีสติมากๆ อยากมีความสุขที่แท้จริง...ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
ผู้ประมาท คือ ผู้ที่รู้หนทางแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมเดินไปตามทางที่ถูกนี้ แต่ผู้ที่ยังไม่รู้อะไรเลย จะเรียกว่าประมาท ก็คงไม่เชิง เพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักกุศล อกุศล ที่แท้จริง จึงหลงไปทำอกุศลแล้วนึกว่านั่นคือกุศล เป็นการไม่ประมาทแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว แล้วมีความสุขยินดีกับการทำอกุศลตลอดชั่วชีวิต ซึ่งน่ากลัวสุดๆ
ขออนุโมทนา ทุกดวงจิตที่ใฝ่ธรรม
เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกกี่วัน?...
ไม่รู้ค่ะ แต่เดาได้ว่า ไม่ถึงร้อยปีแน่นอน...การศึกษาพระธรรมทำให้รู้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรมและยากมากที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์..ยากยิ่งกว่านั้นคือเป็นมนุษย์ที่มีโอกาสศึกษาพระธรรมด้วยความเข้าใจที่จะเป็นการสะสมปัญญาละกิเลสให้เบาบางและละได้ในที่สุด..
ข้อความที่ว่า เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกกี่วัน.. หากไตร่ตรองให้ดีเป็นข้อเตือนใจว่าชีวิตในการเกิดเป็นมนุษย์สั้นนัก.. หากปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ด้วยความประมาทไม่สะสมปัญญาเป็นชีวิตที่ไม่ประเสริฐ
ขอเชิญคลิกอ่าน...
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาจึงประเสริฐ
ขออนุโมทนาค่ะ
ความเกิดทั้งปวงมีมรณะและพยาธิกำกับไว้ ช่องแอกอันหมุนวนไปในทิศบูรพา และทิศอื่นๆ ในมหาสมุทรมาสวมหัวเต่าตาบอด เปรียบเทียบในการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ (สุเมธาเถรีคาถา)
ขอเชิญคลิกอ่าน..
เมื่อได้ศึกษาพระธรรม และ ฟังธรรมทีท่านอาจารย์บรรยายก็ไม่เคยกลัวที่จะตายอีกเลยค่ะ เพราะทุกคนมีความตายเป็นที่สุดรอบ
เรามาจากไหนก็ไม่รู้ เมื่อเราจากโลกนี้ไป จะไปเกิดที่ไหนก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ เราต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน ตอนเช้า ตอนส่าย ตอนบ่าย ตอนค่ำก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้ฉลาดจึงเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต คืออบรมปัญญา อบรมกุศลทุกประการค่ะ
ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ
ความประมาท เช่น ประมาทว่าอายุยังน้อย อายุมากกว่านี้สักหน่อย จึงค่อยฟังธรรม ประมาทว่าเวลายังอีกมาก เที่ยวเล่นดูมหรสพต่างๆ ก่อน จึงค่อยฟังธรรม ประมาทว่าพระธรรมเป็นของง่าย จึงคิดเอาเองว่าไม่ต้องศึกษาก็ได้ฯลฯ ยิ่งไตร่ตรองดู ยิ่งซาบซึ้งในพระมหากรุณาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมีพระปัจฉิมวาจา รวมลงที่ "สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา" และ "ความไม่ประมาท" เพราะภัยในสังสารวัฏฏ์ที่แสนเนิ่นนานนี้ ไม่มีจุดสิ้นสุดเลย หากยังประมาท
เคยคิดว่า หากพรุ่งนี้ต้องตาย อะไรบ้างที่ยังไม่ได้ทำ อะไรบ้างที่ไม่ควรใส่ใจ ไม่ว่า ชอบ ไม่ชอบ อยาก ไม่ อยาก อย่างไร ก็ดูเหมือนจะไร้ความหมาย ก็แค่ คิดนึก (แล้วก็ลืมอีก) โกรธ โลภ หลงก็ยังคงทำงานไปไม่หยุด เพราะหลงลืม และประมาท เป็นอนัตตา จริงๆ ค่ะ หากไม่ฟังบ่อยๆ ก็ลืมบ่อยๆ ว่าอะไรที่เป็นสาระ และเป็นกิจที่ควรทำ
ขอบคุณสำหรับคำถามให้ระลึกอีกค่ะ
เรียนทุกท่าน ขอให้ทุกท่านเข้าไปอ่าน พระมหาปรินิพพานสูตร เพื่อเตรียมตัวก่อนถึงวันนั้น
อนุโมทนา