ผู้ร่วมงานอายุน้อยกว่าชอบอิจฉา ริษยา ใช้ธรรมะใดข่มดีคะ

 
wkedkaew
วันที่  20 ต.ค. 2553
หมายเลข  17400
อ่าน  9,114

ผู้ร่วมงานอายุน้อยกว่า เงินเดือนน้อยกว่า หน้าตาแก่กว่าวัย ชอบอิจฉาริษยา รวมกลุ่มกันนินทาเรา และเจ้านาย อยู่เนืองๆ ไม่มีความสำนึกกับเงินเดือนที่ได้รับทุกๆ เดือนจากเจ้านาย ไม่เคยมีความเพียงพอกับสิ่งที่ได้ เราหนุนขึ้นมาทำงานจากเด็กรายวันเป็นพนักงานประจำ ไม่มีความสำนึกบุญคุณ แถมโดนหักหลังเรื่องต่างๆ มากมาย วันหนึ่งๆ ไม่เคยหยุดปากที่จะพูดเรื่องของชาวบ้าน เราต้องอยู่กับพวกนี้ทุกวัน รู้สึกเครียด เซ็ง เหมือนกัน แต่ก็ยังต้องทำงานอยู่ เวลาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็จะแผ่เมตตาให้ทุกครั้ง แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม ยิ่งมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ก็ถูกนินทาอีก ไปวัดปฎิบัติธรรมก็ถูกนินทา ทำไงดีคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 20 ต.ค. 2553

ควรทราบว่า การนินทาหรือการสรรเสริญ เป็นธรรมะประจำโลก เป็นโลกธรรม สัตว์โลกที่เกิดมาในโลก ย่อมถูกต้องโลกธรรมเป็นธรรมดา แม้พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด ก็ยังถูกคนบางพวกด่า นินทาก็มี บางพวกก็สรรเสริญก็มี หนีไม่พ้นโลกธรรมเหล่านี้เหมือนกัน ดังนั้น ความจริงก็คือ เราไม่สามารถไปแก้ไขคนอื่นได้ แต่เรารักษา อบรมจิตของเราได้ ด้วยการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา อนึ่ง เสียงที่เราได้ยิน ก็เป็นเพียงเสียงเท่านั้นเอง ไม่มีเรา ไม่มีเขาเป็นเพียงธัมมะอย่างหนึ่ง เกิดแล้วดับแล้ว ถ้าเราไม่ไปคิดถึง เราก็จะไม่เป็นทุกข์ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 21 ต.ค. 2553

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 133

ข้อความบางตอนจาก...

สักกปัญหสูตร

พ. ขอถวายพระพร ความริษยา และความตระหนี่ มีอารมณ์อันเป็นที่รัก และไม่เป็นที่รัก เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รัก และไม่เป็นที่รักยังมีอยู่ ความริษยา และความตระหนี่ย่อมมี เมื่อไม่มีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่ย่อมไม่มี

การได้ยิน ได้เห็น สิ่งดี หรือไม่ดี (อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์) เป็นผลของกรรม ถ้าตระหนักได้จริงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะเกิดตามเหตุและปัจจัย จะทุกข์น้อยลง

ข้อความจากพระไตรปิฎก

กุศลธรรม และอกุศลธรรม เป็นเหตุสูงสุด ในฐานะแห่งการให้ผลของตน อิฏฐารมณ์ เป็นเหตุสูงสุดในฐานะแห่ง กุศลวิบาก อนิฏฐารมณ์ เป็นเหตุสูงสุดในฐานะแห่ง อกุศลวิบาก เราหนุนขึ้นมาทำงานจากเด็กรายวันเป็นพนักงานประจำ ไม่มีความสำนึกบุญคุณ แถมโดนหักหลังเรื่องต่างๆ มากมาย ทำดีกับใครอย่าคาดหวัง เพราะถ้าหวัง โอกาสผิดหวังย่อมมี ทำดีเป็นสิ่งที่ควรทำโดยไม่หวังว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ ตอบแทน (ทำดีเป็นกุศล หวังเป็นอกุศล) การศึกษาพระธรรม จะทำให้เข้าใจว่า อะไรเป็นกุศล และอะไรเป็นอกุศล

เชิญคลิกอ่าน

การอบรมเจริญปัญญาขาดปริยัติไม่ได้ ไม่ใช่จะไปปฏิบัติเลย

ปัญญาต้องมาจากปริยัติธรรม

ปริยัติกับการปฏิบัติธรรม ไปด้วยกันได้หรือไม่

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องตรงกัน

การศึกษาปริยัติและการปฏิบัติ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wkedkaew
วันที่ 21 ต.ค. 2553
อนุโมทนา และขอขอบพระคุณค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pamali
วันที่ 21 ต.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผิน
วันที่ 21 ต.ค. 2553

การทำงานทุกที่ มีบุคคลหลากหลาย ความคิด และจิตสำนึก ต่างๆ นานา เหตุที่เครียด เซ็ง เป็นเพราะ ได้ยินเสียง ความคิดปรุงแต่ง ไปในทางอกุศล ในส่วนลึกๆ ของจิตใจ หวังที่จะให้บุคคลที่ได้ให้ความช่วยเหลือ เป็นคนดี แต่ก็ไม่ได้ดังที่หวัง เกิดการผิดหวัง จึงเกิดความทุกข์ เพราะมีความยึดมั่น ถือมั่น ต้องปล่อยวาง เหตุและปัจจัย ของแต่ละบุคคล ไม่เหมือนกัน เหตุและปัจจัยดี ก็ไปในทางที่ดี เหตุและปัจจัยไม่ดี ก็จะไปทางที่ไม่ดี ดังนั้น จิตที่เป็นกุศลก็ขอให้เป็นกุศลตลอดไป

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Thirachat.P
วันที่ 22 ต.ค. 2553

เขาอาจเคยเป็นญาติพี่น้องเราที่รักกันมาก เคยช่วยเหลือเราให้รอดตาย เคยมีบุญคุณกับเรา เขาเคยดีกับเราอย่างมากมาย เราจะไปโกรธตอบเขา ไปว่าเขาตอบ สมควรอยู่หรือจ๊ะ ครับ คิดซะว่า เขาทำให้เรารู้ว่า ตัวเราเองยังมีกิเลส ช่างเขาเถอะครับ ปล่อยเขาไปเถอะ เขาไม่ได้ฟังธรรมะ จึงไม่รู้ว่า เป็นกรรมหนัก ผลของกรรมก็หนัก น่าสงสารออก อาจารย์สอนว่า (ผมคิดว่าเคยได้ยิน) จิตเป็นกุศลซะอย่าง จะกังวลทำไมจ๊ะ

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
BOONKMH
วันที่ 22 ต.ค. 2553

พยายามอย่าเอาใจเราไปใส่เขาเกินไป คือปล่อยวางให้ได้ อย่าเอาเรื่องของเขา มาใส่ใจ ที่เป็นทุกข์ เพราะเราปล่อยวางไม่เป็น ไปใส่ใจในเรื่องของเขา ให้เข้าใจว่าในโลกนี้มีคนหลายประเภทหลากหลาย การนินทาว่าร้าย เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสัตว์โลก ไม่มีใครพ้นไปได้ แม้กระทั่งพระอรหันต์ ที่เป็นทุกข์นั้นมันเกิดที่ใจเราเอง คือต้องแก้ที่ใจเราก่อน อย่าไปคิดแก้ที่คนอื่น คือ อย่าไปคิดถึงเขา ก็สิ้นเรื่อง พูดเหมือนง่าย แต่ทำได้จริง ขอให้มีความพยายามค่อยเป็นค่อยไป ธรรมะที่ใช้ก็คือ อย่าไปยึดมั่นมากเกินไป ให้ปล่อยวางให้ได้ ทุกข์มันเกิดที่ใจของเราก็ต้องแก้ที่ใจของเราเอง ขอเป็นกำลังใจให้

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Thirachat.P
วันที่ 22 ต.ค. 2553

ควรศึกษา (ฟัง อ่าน สนทนา) เรื่องเมตตา และธรรมะอื่นๆ ให้ละเอียด กว้างขวางมากขึ้น ด้วยความเคารพและตั้งใจ และหมั่นสนทนาไต่ถามเรื่อง ธรรมะเนืองๆ กับท่านผู้รู้ กัลยาณมิตร เพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องครับ ผมเขียนตามความเข้าใจของผมครับ หากมีข้อผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน ก็ขออภัยด้วยครับ ผมเองก็กำลังศึกษาอยู่ครับ

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
บัวขาว
วันที่ 22 ต.ค. 2553

ดิฉันเข้าใจ ข้อความที่ 1 นะคะ เพราะดิฉันก็เจอคนลักษณะนี้อยู่เหมือนกัน เป็นผู้ชายด้วยค่ะ ตอนเช้าที่ทำงานดิฉันจะสวดมนต์ทุกวัน ก็จะโดนคนประเภทนี้ คอยชอบนำไปพูดกระแนะกระแหนอยู่เรื่อย ตอนแรก ก็โกรธขุ่นเคืองอยู่ในจิตเหมือนกัน แต่ได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ ก็ทำให้เข้าใจความโกรธก็จะคลายไป แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ให้อภัยเขา แล้วก็คิดว่า มันเป็นวิบากของเราที่ต้องได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้ เขาอยากคิดก็ให้เขาคิดไป มันเป็นอกุศลของเขาเอง เราทำกุศลของเราต่อไปดีกว่า คนถ้าทำความดีแล้วมีคนต่อว่ามันก็จะเป็นอกุศลที่หนักของเขาเองค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kanchana.c
วันที่ 22 ต.ค. 2553

เพิ่งคิดว่า มีเพื่อนอิจฉาเรา เพราะดูท่าทางเขามอง และพูดแปลกๆ คิดว่าเราคงดูดี เขาเลยอิจฉา นึกถึงคำตอบของท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคยตอบคำถามแบบนี้ ท่านถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าเขาอิจฉา ผู้ถามตอบว่า คิดเอา ท่านบอกว่า ไม่มีใครรู้ความคิดของใครได้ถูกต้องทั้งหมด บางขณะเขาอาจจะอิจฉา บางขณะเขาอาจจะนึกถึงบุญคุณเราที่เคยมีก็ได้ จึงเป็นเรื่องเดาเอาทั้งนั้น ที่จะรู้ได้แน่ๆ ก็คือความคิดของตัวเอง คือ จิตของตัวเองขณะที่คิดว่า คนอื่นอิจฉา จิตของเราเป็นกุศล หรืออกุศล สำหรับดิฉันแล้ว เป็นอกุศลแน่ๆ ประเภทโทสะ ความหยาบกระด้าง ไม่พอใจ สอนตัวเองว่า ก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เหมือนกับสภาพธรรมอื่นๆ ที่ต้องเกิดดับ ไม่ยั่งยืน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ แม้ไม่อยากให้เกิด อยากให้จิตเป็นเมตตากับผู้ที่คิดอิจฉาเรา ก็ไม่ได้เป็นไปตามต้องการ แสดงว่า ปัญญายังอ่อน ต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป ด้วยการฟัง พิจารณาธรรม อีกนานแสนนาน ก็เท่านั้นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chaiyut
วันที่ 22 ต.ค. 2553

อบรมปัญญาและกุศลทุกประการบ่อยๆ นะครับ ถ้ามีปัญญาน้อย เราก็ทุกข์มาก ถ้าเรามีปัญญามากขึ้น ทุกข์ก็น้อยลง ปกติของปุถุชนเป็นคนเจ้าทุกข์ เพราะว่าเราไม่เข้าใจธรรมะ ถ้าเราเข้าใจธรรมะจริงๆ เราจะไม่โทษใคร เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของๆ ตน หน้าที่ของเราคือทำหน้าที่การงานของเราให้ดีที่สุด และถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำด้วยใจที่เป็นกุศลครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
คุณ
วันที่ 24 ต.ค. 2553

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 14 พ.ย. 2553

ที่ทำงานเก่าของดิฉัน มีแต่พวกอิจฉาริษยา พูดจาทิ่มแทงทุกวัน พยายามใส่ร้ายเรากับหัวหน้า เจอแบบนี้ทุกวันก็เสียสุขภาพจิต ดิฉันจึงลาออกมาเรียนปริญญาโท ชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะ ถ้าคุณได้เงินเดือนเยอะ มีหัวหน้าดี หน้าที่การงานมั่นคง ก็ควรอยู่ต่อไป ไม่ต้องไปสนใจคนพาลหรอกค่ะ เดี๋ยวพวกเขาเหนื่อยก็เลิกราไปเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
oom
วันที่ 9 ธ.ค. 2553

สมัยอดีต ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับคุณเหมือนกัน แต่ปัจจุบันได้ฟังธรรมะเข้าใจก็ปล่อยวางได้ ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เอาใจใส่แต่ความคิดของตัวเราเองว่าเป็นอกุศลหรือเป็นกุศลพอแล้ว ถ้าจะไปแก้คนอื่นคงยาก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็จะมองไปที่คนอื่น ไม่เคยมองเข้ามาที่ตัวเราเอง ขนาดดิฉันศึกษาธรรมะก็ยังหลงลืมอยู่บ่อยๆ ๆ บางครั้งก็โทษคนอื่น เป็นแบบนี้เพราะเขา พอนึกถึงคำสอนของอาจารย์ที่ว่าเราเป็นแบบนี้ ไม่มีใครทำให้หรอก นอกจากตัวเราทำเอง จึงเป็นแบบนี้ ... ฟังแล้วใจสงบลงอย่าประหลาด มีความสุขขึ้น

ทุกวันนี้ เฝ้ามองแต่ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เพื่อละคลายความเป็นตัวตน ความยึดมั่นถือมั่น จะไม่ใส่ใจความคิดของคนอื่น เพราะเราไม่สามารถจะไปแก้ไขความคิดคนอื่นได้ ถ้าเขาคิดไม่ดี เขาก็รับผลไม่ดีเอง อย่าเอาชีวิตของเราไปผูกติดกับการกระทำของคนอื่น ชีวิตจะเป็นทุกข์ เฉพาะขันธ์ ๕ ของเราก็หนักพอแล้ว ขืนแบกของคนอื่นอีก คงแย่แน่ๆ ๆ

การนินทาว่าร้ายกัน เป็นของคู่โลก ไม่มีใครไม่เคยถูกนินทา คนที่ชอบพูดเรื่องของคนอื่น คงพูดได้ไม่เกิน ๗ วันหรอก เหมือนในสมัยพระพุทธเจ้า ที่พระอานนท์ทูลให้พระพุทธเจ้าเสด็จ หนีจากการถูกว่าร้าย แต่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ไม่เกิน ๗ วัน เดี่ยวก็หยุดเอง โดยที่ไม่ต้องทำอะไร เหตุการณ์ก็สงบลงจริงๆ ๆ ถ้าปล่อยวางได้ จะไม่เป็นทุกข์ แต่ทำยาก ต้องสะสมเจริญปัญญา คือ ฟังธรรมบ่อยๆ แล้วจะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ทุกอย่างเป็นธรรมะ ขอเอาใจช่วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pannipa.v
วันที่ 9 ธ.ค. 2553

ผู้คบคนทราม ย่อมเสื่อม ส่วนคนผู้คบคนเสมอกัน ไม่เสื่อมในกาลไหนๆ ผู้คบคนประเสริฐกว่า ย่อมเจริญเร็ว เพราะฉะนั้นจึงควรคบคนที่ยิ่งกว่าตน

จาก เสวิตัพพสูตร ว่าด้วยผู้ควรคบ และไม่ควรคบ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wkedkaew
วันที่ 18 ธ.ค. 2553
ขออนุโมทนาบุญค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
wkedkaew
วันที่ 18 ธ.ค. 2553

ขออนุโมทนาบุญค่ะ

ขอบคุณทุกข้อความค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
เซจาน้อย
วันที่ 18 ธ.ค. 2553

ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
yoksung
วันที่ 8 ต.ค. 2555

ในวงการ การทำงาน มีคนประเภทนี้ทุกที่ค่ะ ต้องทำใจยอมรับ และอยู่ให้ได้กับคนประเภทนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน อาจจะปรี๊ดแตก และลาออกในทันที ที่ต้องร่วมงานกับคนประเภทนี้ แต่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุก็ตั้ง ๓๓ ขวบแล้วเห็นจะได้ จึงสามารถระงับสติอารมณ์ตัวเองได้ค่อนข้างดีระดับหนึ่ง แต่ก็แอบร้องไห้บ้าง ที่ต้องเจออีกแระ จนบางครั้ง คิดว่า มันเป็นกรรมเก่าหรือเปล่านะ แต่เมื่อมองในแง่ของความเป็นจริง มันไม่ใช่หรอก มันเป็นที่นิสัยส่วนตัวของบุคคลเหล่านั้นมากกว่า มันเป็นกรรมของเขาต่างหาก กรรม ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว ... เพราะคนเหล่านั้นโดยพื้นฐานเป็นคนชอบว่าคนอื่นให้เสียหาย เป็นคนขี้อิจฉาริษยา เป็นคนที่ขี้เกียจทำงาน รักความสบาย พอเห็นคนอื่นขยัน ก็พูดจาต่างๆ นานากลบเกลื่อนความขี้เกียจของตัวเอง ... จริงมั้ยคะ

ดิฉันต้องขอบคุณ คุณแม่มาก ที่ให้กำเนิดเกิดมาบนโลกใบนี้ และเป็นตัวอย่างที่ดี สอนในสิ่งที่ดีงามเสมอ ทำให้ดิฉันเป็นคนคิดดี พูดดี และทำดี ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ริษยาใคร ขอบคุณคุณแม่ดิฉันมากเลยนะคะ เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกๆ ท่านที่กำลังประสพพบเจอคนประเภทนี้อยู่ ขอให้ท่านจงเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงามที่ท่านทำ ความตั้งใจทำในสิ่งที่ดี จะนำพาสิ่งที่ดีมาสู่ตัวท่านเช่นกันค่ะ

ขอให้บุญรักษา เทวดาคุ้มครองนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 15 ก.ย. 2557

ขอเชิญรับฟัง ...

ความริษยาเป็นเรื่องยากที่จะสลัดออก

ขอบพระคุณ สาธุ อนุโมทนา ค่ะ ด้วยความเคารพยิ่ง

จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 6 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ