กสิสูตร ว่าด้วยการทำนาทางธรรม - ๑๕ ม.ค. ๒๕๕๔

 
บ้านธัมมะ
วันที่  9 ม.ค. 2554
หมายเลข  17714
อ่าน  6,149

•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••...

สนทนาธรรมที่ ...

•••..... มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ....•••

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๑๕ ม.ค. ๒๕๕๔

เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.

๑. กสิสูตร

(ว่าด้วยการทำนาทางธรรม)

...จาก...

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๔๓ - ๒๔๖



...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๔๓ - ๒๔๖

๑. กสิสูตร

(ว่าด้วยการทำนาทางธรรม)

[๖๗๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ อยู่ ณ พราหมณคามชื่อว่าเอกนาลาในทักขิณาคีรีชนบท แคว้นมคธ ก็ในสมัยนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์ เทียมไถ มีจำนวน ๕๐๐ ในกาล (ฤดู) หว่านข้าว.

[๖๗๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังที่ทำการงาน ของกสิภารทวาชพราหมณ์ ในเวลาเช้า. สมัยนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ กำลังเลี้ยงอาหาร (มื้อเช้า) ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไปยังที่เลี้ยงอาหาร (ของเขา) ครั้นแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

กสิภารทวาชพราหมณ์ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนบิณฑบาตอยู่ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพเจ้าไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว ย่อมบริโภค ข้าแต่พระสมณะ แม้พระองค์ก็จงไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว จงบริโภคเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วก็บริโภค

กสิภารทวาชพราหมณ์ กราบทูลว่า ก็ข้าพเจ้าไม่เห็นแอก ไถ ผาล ประตัก หรือโคทั้งหลาย ของท่านพระโคดมเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพระโคดมยังกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วก็บริโภค

[๖๗๓] ครั้งนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า พระองค์ปฏิญาณว่าเป็นชาวนา แต่ข้าพเจ้า ไม่เห็นการไถของพระองค์ พระองค์ผู้เป็นชาวนา ข้าพเจ้าถามแล้วขอจงตรัสบอก ไฉน ข้าพเจ้าจะรู้การทำนาของพระองค์นั้นได้.

[๖๗๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาล และประตัก เรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการดายหญ้า (คือวาจาสับปรับ) ด้วยคำสัตย์ โสรัจจะ ของเรา เป็นเครื่องให้แล้วเสร็จงาน ความเพียรของเรา เป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความ เกษมจากโยคะ ไปไม่ถอยหลังยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก เราทำนาอย่างนี้ นาที่เราทำนั้น ย่อมมีผลเป็นอมตะ บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

กสิภารทวาชพราหมณ์ กราบทูลว่า ท่านพระโคดมผู้เป็นชาวนา ขอจงบริโภคอมฤตผลที่ท่านพระโคดมไถนั้นเถิด.

[๖๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราไม่พึงบริโภคโภชนะ ซึ่งได้ เพราะความขับกล่อม ดูก่อนพราหมณ์ นี่เป็นธรรม ของบุคคลผู้เห็นอรรถและธรรมอยู่ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมรังเกียจ โภชนะที่ได้เพราะการขับกล่อม ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ ความเป็นไป (อาชีวะ) นี้ก็ยังมีอยู่ แต่ท่านจงบำรุง ซึ่งพระขีณาสพทั้งสิ้น ผู้แสวงหาคุณใหญ่ มีความคะนองระงับแล้ว ด้วยข้าวน้ำอันอื่น ด้วยว่า การบำรุงนั้นเป็นนาบุญของผู้มุ่งบุญ.

[๖๗๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเช่นนี้แล้ว กสิภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คน หลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นได้ ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

จบ กสิสูตรที่ ๑


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 ม.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเ้จ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

กสิสูตร

(ว่าด้วยการทำนาทางธรรม)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งความเป็นอรหันต์ของกสิภารทวาชพราหมณ์พระองค์ทรงทราบว่า เมื่อเสด็จไปยังที่ทำนาของกสิภารทวาชพราหมณ์แล้ว จะมีการสนทนากัน พระองค์จะแสดงธรรมให้ฟัง ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้พราหมณ์พร้อมด้วยบุตรภรรยาตั้งอยู่ในสรณะ ๓ มีการเจริญกุศลในพระพุทธศาสนา และภายหลังกสิภารทวาช-พราหมณ์จะได้ออกบวชและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด จึงได้เสด็จไปในที่นั้น

เหตุการณ์มีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังที่ทำนาของกสิภารทวาชพราหมณ์ซึ่งกำลังเลี้ยงอาหารคนงานที่จะทำการไถหว่าน พอพราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าต้องไถและหว่านจึงได้ข้าวสำหรับบริโภค แม้พระองค์ก็ควรจะไถหว่านบ้าง พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า แม้พระองค์ก็ไถหว่านเช่นเดียวกัน ทำให้พราหมณ์สงสัยเป็นอย่างยิ่งในพระดำรัสของพระองค์ เพราะเขาไม่เห็นอุปกรณ์ในการทำนาของพระองค์ เช่น ไถ ผาล เป็นต้น เลย จึงทูลถามพระองค์ถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งพระองค์ได้ตรัสตอบเป็นธรรมเปรียบเทียบกับการไถหว่าน เช่น ศรัทธา เป็นพืช ความเพียร เป็นฝน ปัญญา เป็นแอกและไถ เป็นต้น (ตามที่ปรากฏในพระสูตร) พราหมณ์ได้กล่าวชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งประกาศตนว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระัรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ ครับ

จนอะไรก็ได้...แต่อย่าจนศรัทธา

ผู้มีศรัทธา [ฐานสูตร]

หิริ โอตตัปปะขั้นอบรมเจริญปัญญา เพื่อดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

ปัญญาต้องมีกำลังกว่าอวิชชาแน่นอน

ผู้ปรารภความเพียร [มหานิทเทส]

โยคะ ๔

ทมะกับขันติ - โสรัจจะต่างกันอย่างไร

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Thirachat.P
วันที่ 10 ม.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พรรณี
วันที่ 11 ม.ค. 2554

ขออนุโมทนากับท่านกสิภารทวาชพราหมณ์ที่ได้ดวงตาเห็นธรรม จนออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ทั้งๆ ที่กำลังทำงานไถว่านอยู่แท้ๆ ด้วยพระฌาณแห่งพระพุทธ-องค์ที่ทรงล่วงรู้และเสด็จมาโปรด ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ได้นำพระคาถาบทนี้มาบรรยาย ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Charlie
วันที่ 11 ม.ค. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tai34
วันที่ 11 ม.ค. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
อนุโมทนา
วันที่ 13 ม.ค. 2554

จากบทความธัมมะดังกล่าว ทำให้เข้าใจขึ้นอีกระดับหนึ่ง ที่ อ.สุจินต์ ได้เพียรพยายามบรรยายให้ผู้ที่ได้ฟังธรรม ให้เข้าใจธรรมของพระตถาคด ได้เกิดสุตมยปัญญา สังขารขันข์จะปรุงแต่งจิตทำให้เกิดจินตามยปัญญา เปรียบเหมือนน้ำหยดลงตุ่ม สักวันหนึ่งจะต้องเต็ม แม้หลายแสนโกฏิกัปป์ล์ ภาวนามยปัญญาก็จะเกิดได้ ถึงเวลานั้นเมื่อได้ฟัง ธัมมะของพระตถาคต จากพระโอษฐ์ หรือจากคนรับใช้ที่ได้ไปฟังมา ก็สามารถบรรลุถึงความหมดอาสวะได้ ขอขอบคุณขออนุโมทนาค่ะ

จากการฟังการบรรยายของอาจารย์ทาง mp3 ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2538 จนถึงปัจจุบันก็ยังฟังอยู่เป็นประจำ ซึ่งเป็นการรวบรวมจากเทปวิทยุ 35 แผ่น ฟังวนแล้ววนอีก ไม่เบื่อ บางเดือนไม่ได้เปิดโทรทัศน์เลย ฟังแต่การบรรยายของอาจารย์ ถ้าจะพูดถึงผลของการฟัง ก็ต้องยกการอุปมาที่อาจารย์เคยบรรยายเสมอมาว่า "เปรียบเสมือน การจับด้ามมีด" ค่ะ เข้าใจในพระธรรมโดยการฟัง แต่ไม่ประจักษ์ในพระธรรม เพียงบางครั้งสติเกิดเลือนๆ เหมือนจะเห็นความเป็นอนัตตาในนาม-รูป แต่ก็กลับหายแว็บไป เป็นก้อนแท่งทึบเหมือนเดิม จากความเข้าใจในพระธรรมถึงแม้จะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ก็ทำให้เริ่มเข้าใจและมีเมตตาต่อผู้อื่นที่เขาไม่ได้ฟังธรรมหรือฟังธรรมแล้ว แต่ยังมีพฤติกรรมเป็นไปตามอุปนิสัยของ แต่ละคน

ในช่วงปัจจุบันนี้ มีข้อสงสัยในธรรมเกิดขึ้น คือ เมื่อจิตมีสภาพรู้เท่านั้น (ตรงนี้ไม่ส่งสัย) สงสัยว่า ทำไมถึงต้องมีถึง 89 ประเภท ส่วนเจตสิก มี 52 ประเภทนั้นไม่สงสัย เพราะเป็นไปตามสภาวะธรรรมที่ผ่านมาทางอายตนะและตามที่สังขารขันธ์จะปรุงแต่งและต้องเกิดร่วมกับจิตเสมอ ในปี 2554 อาจารย์สุจินต์จะพาคณะสหายธรรมไปกราบสังเวชนียสถานอีกเมื่อไรค่ะ

สุดท้ายขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่แทบเท้า และขอขอบคุณคณะสหายธรรมที่ได้รวบรวมธรรมะบรรยายของอาจารย์ไว้ และต้องขอบคุณตัวเองที่มีบุญเก่า ทำให้ได้มีโอกาสฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์และเข้าใจธรรมะบรรยายที่อาจารย์บรรยาย เคยพยายามจะอ่านพระไตรปิฎกประกอบในการฟัง แต่อ่านแล้วทำให้รู้ว่าสติปัญญาไม่พอที่จะอ่านให้เข้าใจ จึงได้เห็นประโยชน์ในการฟังธรรมะที่อาจารย์บรรยยาย ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์สุจินต์ที่ได้เพียรบรรยายไว้เป็นอันมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 13 ม.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุภาพร
วันที่ 14 ม.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Jesse
วันที่ 15 ม.ค. 2554

ขอขอบพระคุณและร่วมอนุโมทนาในกุศลจิตด้วยนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
กรกนก
วันที่ 15 ม.ค. 2554

ขอร่วมอนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 9 พ.ค. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 11 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ